ลงโฆษณาฟรี

ชอเชิญผู้ประกอบการลงโฆษณาธุรกิจขอท่านได้ฟรีรายละเอียดดังนี้
ลงโฆษณาฟรี

11/08/2012

อาชีพขายส้มตำ


ส้มตำเป็นอาหารที่คนไทยรู้จักกันดี เป็นอาหารพื้นบ้านชาวอีสาน และได้แพร่หลายไปทั่วประเทศ และเป็นอาหารขึ้นชื่อของประเทศไทย ชาวต่างชาติรู้จักกันดี แต่รสชาติก็ต้องมีการปรับให้เข้ากับลิ้นผู้กินอีกทีหนึ่ง
ส้มตำนั้นมีความหลากหลาย มีหลายเมนูให้เลือกชิมกันนอกหนือจากส้มตำพื้นฐาน เช่น ตำปูปลาร้า ตำปู ตำไทย ตำโคราช  เช่น ตำปูม้า ตำไข่เค็ม ตำแครอท ตำผลไม้รวม ตำกระท้อน เป็นต้น
การจะทำส้มตำซึ่งใช้เส้นมะละกอเป็นหลักให้อร่อยนั้น ก็มีเคล็ดลับ คือ การทำเส้นมะละกอให้สด กรอบ เวลาตำส้มตำจะทำให้อร่อย ขายง่าย คนกินติดใจ

การทำเส้นมะละกอให้สดกรอบ
1. เตรียมน้ำสารส้มสำหรับแช่เส้นมะละกอ เพราะการใช้นำสารส้มจะทำให้เส้นมะละกอกรอบ โดยใช้กะละมังหรือภาชนะสำหรับแช่ 1 ใบ ใส่น้ำ ½ กะละมัง แล้วเอาสารส้มลงไปแกว่งจนกระทั่งน้ำเปรี้ยวนิดๆ เฝื่อนหน่อยๆ 
2. เตรียมมะละกอซึ่งมะละกอนั้นใช้พันธุ์อะไรก็ได้ แต่ถ้าได้แขกดำจากดำเนินสะดวกก็จะดีมากค่ะ  เมื่อปอกเปลือกแล้ว ก็ล้างยางออกให้หมด เริ่มขูดเส้นมะละกอ เริ่มจากด้านล่างก่อน ขูดให้เป็นเส้นยาวๆ 3-4 นิ้ว ใส่ลงไปในกะละมังน้ำสารส้ม แต่อย่าให้ท่วมน้ำสารส้ม เสร็จแล้วเอาน้ำแข็งโปะไว้ด้านบน แช่ไว้ประมาณ 30 นาที 

แต่ถ้าเป็นเส้นแครอท จะแช่หรือไม่แช่ก็ได้ เพราะแครอทจะมีความกรอบในตัวเองมากกว่า มะละกอ แต่ถ้าจะแช่ก็ควรทำคนละกะละมัง ส่วนผลไม้นั้น เวลาหั่นเอาไว้แต่ไม่อยากให้ดำก็แช่ในน้ำเกลือ จะช่วยได้ค่ะ 

บางร้านที่ทำอาชีพขายส้มตำเค้าจะมีเมนูส้มตำทอดไว้เป็นเมนูแนะนำ ซึ่งถ้าใครอยากทดลองทำบ้าง เราก็มีวิธีการทำเส้นมะละกอทอดมาให้ค่ะ

การทำเส้นมะละกอทอดกรอบ
ส่วนผสม
1. เส้นมะละกอ 1 กิโลกรัม
2. แป้งทอดกรอบอเนกประสงค์ 3 ขีด
3. น้ำเย็นพอประมาณ ถ้ายิ่งเย็นได้ยิ่งดี
4. น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำเส้นมะละกอทอดกรอบ
1. เอาเส้นมะละกอ คลุกกับแป้ง ผสมกับน้ำเย็น  คลุกจนรู้สึกว่ามันเข้ากันดี
2. ตั้งกระทะใช้ไฟกลาง การทอดให้ทอดชิ้นเล็กๆ เป็นคำๆ เพื่อให้สะดวกกับคนกินค่ะ  ทอดจนออกเหลือง ตักขึ้นผึ่งลมให้สะเด็ดน้ำมัน

ส่วนสูตรส้มตำนั้นมีหลายสูตร ซึ่งสามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บส้มตำตาม link นี้เลยค่ะ

11/03/2012

อาชีพขายโจ๊ก เงินงาม กำไรดี


อาชีพขายโจ๊ก
โจ๊กนั้นขายได้ทั้งแบบเข็นรถขาย  หรือตั้งเป็นเคาน์เตอร์  โจ๊กเป็นอาหารอ่อนๆ ขายได้ทั้งเช้า และจนดึก ถ้าขยันๆ ก็ขายตั้งแต่เช้าจนดึก รับรองว่า ความรวยไม่หนีไปไหน แต่ที่สำคัญต้องอร่อยด้วย  ขายโจ๊กนั้นได้กำไรครึ่งต่อครึ่งเลย เป็นอาชีพเสริมที่น่าสนใจไม่น้อย

โจ๊กหมู
ส่วนผสม น้ำซุป โจ๊กหมู
โครงไก่ 2 กิโลกรัม ซี่โครงหมู 6 กิโลกรัม
เนื้อหมูบด แบบผสมมันหมู 5 กิโลกรัม
(เนื้อหมูบด แบบผสมมันจะทำให้นุ่มและอร่อยยิ่งขึ้น)
ตับหมู 1 กิโลกรัม
ไส้หมู l กิโลกรัม
กระเพาะหมู 1 กิโลกรัม
แครอท 1/2 กิโลกรัม
กะหล่ำปลี 4 หัว เห็ดหอมแห้ง 300 กรัม

วิธีทำ
- ให้นำโครงไก่ และซี่โครงหมู ลงต้มในน้ำซุป แล้วปรุงรสน้ำซุปด้วย
  ซีอิ๊วขาว ผงปรุงรส (คนอร์หมู) พริกไทยเกลือป่นเล็กน้อย และใส่ แครอท หั่นเป็นทอนๆ กะหลาปลี ผ่าครื่งลูก ส่วนเห็ดหอมย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใส่ในหม้อต้มซุป
- ต้มประมาณณ ชั่วโมงครึ่ง   แล้วตักซี่โครงหมูขึ้นมาหั่นเป็นชิ้น ๆ
-ส่วนแครอท ก็ให้ตักขึ้นมา แล้วนำไปบดให้ละเอียด เพื่อใส่ในโจ๊กเด็ก จะได้เพิ่มคุณค่าทางอาหารให้เด็กด้วย สำหรับเห็ดหอม ก็ให้ตักขึ้นมา แล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆ เพื่อหยิบใส่ในโจ๊ก
-ตับหมู ไส้หมู กระเพาะหมู นำมาล้างทำความสะอาดด้วยน้ำซาวข้าวก่อน แล้วค่อยนำไปต้มให้สุก เมื่อสุกแล้วก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เตรียมขายได้
-ในส่วนหมูบด ก็ควรปรุงรสให้เรียบร้อยก่อนนำออกขาย

 วิธีหุงข้าวโจ๊ก
-นำปลายข้าวหอมมะลิ 10 กิโลกรัม ไปซาวน้ำ แล้ว
รินน้ำออก (เอาถ้าส่วนนี้ไปล้างเครื่องในหมู)
- นำปลายข้าวหอมมะลิใส่หม้อ แล้วแบ่งน้ำซุปอีกส่วนหนึ่งมาต้มข้าว เติมน้ำซุปลงไปต้มให้เดือด
และตีให้เป็นโจ๊กพร้อมออกขาย

เครื่องปรุงโจ๊กหมู
ไข่ไก่สด
ขิงอ่อนซอย
ต้นหอม
ซีอ๊วขาว
พริกไทย
ซอสภูเขาทองฝาเหลือง

ราคาขาย ชามละ 25 บาท ถ้าใส่ไข่ได้วย ก็เพิ่ม 5 บาท
ถ้าอยากทำโจ๊กปู ก็ไม่ต้องใส่เครื่องในหมู แต่ใส่เนื้อปูแทน ขายชามละ 50 บาท
หรือถ้าจะใส่กุ้งก็ราคา 50 บาท









10/23/2012

ขายข้าวไข่เจียว ทำง่าย กำไรดี


ไข่เจียว เมนูอร่อยที่ทำง่าย ทานง่าย คุณคงจะเคยเห็นรถพ่วงมอเตอร์ไซค์  หรือร้านขายข้าวไข่เจียวอย่างเดียว แต่เมนูนั้นมีหลายหลากให้เลือกชิม  เช่น ไข่เจียวปูอัด ไข่เจียวแฮม ไข่เจียวหมูสับ  ลูกค้าก็อยากลองชิมเมนูแปลกๆ  ทำให้ข้าวไข่เจียวนั้นขายได้ และกำไรก็ดีด้วย

ต้นทุนขายข้าวไข่เจียวแบบธรรมดา
1. ไข่ไก่ฟองละ 3 บาท ใช้ครั้งละ 2 ฟอง
2. ค่าเครื่องปรุงและแก๊สหุงต้ม ปะมาณ 4 บาท
3. ต้นทุนรวม 10 บาท
ราคาขายต่อจาน 20 บาท
กำไร จานละ 10 บาท เรียกได้ว่า 100% เลยทีเดียว และถ้าส่วนผสมเปลี่ยนไปต้นทุนจะเพิ่ม แต่ราคาขายก็จะเพิ่มขึ้น เป็นจานละ 25-30 บาท

ข้าวไข่เจียวมีสูตรมากมาย วันนี้จะขอยกตัวอย่างบางสูตร
สูตรข้าวไข่เจียวสูตรที่ 1 ไข่เจียวกุ้งสด
ส่วนผสม
ไข่ไก่ 2 ฟอง
เกลือป่น พริกไทย นมสด อย่างละนิดหน่อย
ผงฟู ½ ช้อนชา
กุ้ง 2 ตัว
วิธีทำ
1. ทำความสะอาดกุ้ง แยกหัวออกจากตัว แล้วแกะเปลือกกุ้งออก ผ่ากุ้งออกเป็น 2 ส่วน
จะได้กุ้ง 4 ชิ้น ส่วนหัวกุ้งให้แกะเอามันกุ้งออกมา เพื่อจะได้นำไปผสมตีพร้อมไข่ไก่
2. ตีไข่ได่รวมกับมันกุ้งและใส่พริกไทย นมสด ผงฟู ตีทั้งหมดให้เข้ากัน
3. ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อน เมื่อร้อนได้ที่ก็เอาไข่ที่ตีไว้แล้วลงไป แล้วรีบวางชิ้นกุ้งที่เตรียมไว้ลงไปบนหน้าไข่ด้วย เมื่อสุกแล้ว ก็เสิร์ฟได้เลย

สูตรข้าวไข่เจียวสูตรที่ 2 ไข่เจียวชีส

ส่วนผสม
เห็ด นางฟ้า
(หรือเห็ดอื่นๆ ) 100 กรัม
เนยสดซนิดเค็ม 1/4  ถ้วยตวง
หอมใหญ่สับ 1 ช้อนชา
ชีทขูดเป็นเส้น 30 กรัม
ไข่ไก่ 3 ฟอง
นมสดหรือครีมสด 3 4 ซ้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ
1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
2. พอกระทะร้อน นำเห็ดลงไปผัดกับหอมใหญ่สับ ปรุงรสด้วยเกลือป่นและพริกไทยป่น ตักขึ้นพักไว้
3. นำกระทะตั้งไฟ ใส่เนยสดที่เหลือพอร้อน
4. นำไข่ไก่ตีให้เข้ากันกับนดสดหรือครีมสด ใส่ลงในกระทะ คนให้ข้นแล้วกระจายไข่ให้ทั่วกระทะ
5. ลดไฟอย่าให้ไข่ไหม้หรือเหลืองเกินไป ตักเห็ดที่ผัดแล้วโรยหน้าด้วยชีทขูด ตักใส่จานหรือกล่องข้าวแล้วเสิร์ฟ

สูตรข้าวไข่เจียวสูตรที่ 3 ยำไข่เจียวโหระพา
ส่วนผสม
1. ไข่ไก่ 2 ฟอง
2. โหระพา ¼ ถ้วย
ส่วนผสมน้ำยำ
1.พริกขี้หนูโขลกละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
2. หอมแดงซอย 2 ช้อนโต๊ะ
3. กระเทียมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
6. ขึ้นฉ่ายหั่นท่อน ¼ ถ้วยตวง
นำส่วนผสมน้ำยามาคลุกเคล้าให้เข้ากัน

วิธีทำ
1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช ใช้ไฟปานกลางพอร้อน นำใบโหระพาครึ่งหนึ่งลงทอดให้กรอบ ตักขึ้นพักไว้
2. ตีไข่ไก่ให้ขึ้นฟู ใส่ใบโหระพาที่เหลือตีให้เข้ากัน นำลงทอดในกระทะน้ำมันร้อนๆ เจียวให้เหลืองกรอบ
3. นำไข่เจียว ใบโหระพาและขึ้นฉ่ายมาหั่นใส่ชาม แล้วราดด้วยน้ำยำ เคล้าให้ทั่ว จัดใส่จาน โรยหน้าด้วยโหระพาทอดกรอบ

ยังมีสูตรไข่เจียวอีกมากมาย สำหรับคนที่สนใจจะขายข้าวไข่เจียวได้ลองทำกันดู เพราะกำไรดี ทำง่าย ใช้เป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพหลักเลยก็ได้



10/16/2012

อาชีพสร้างผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว


อาชีพสร้างผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว

อาชีพนี้นั้นจัดได้ว่า เป็นงานที่ขายไอเดีย เพราะว่านำวัสดุใกล้ตัวอย่างมะพร้าว ที่อาจลืมไปว่านอกจากลูกมะพร้าวที่กินน้ำ กินเนื้อ และทำกะทิแล้ว ลูกมะพร้าวก็ยังสามารถเอามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่สวยงามได้อีกด้วย เช่น โคมไฟสวยๆ ตุ๊กตา แต่คนที่จะประดิษฐ์ได้ ต้องมีความอดทนในการผลิต และมีความคิดสร้างสรรค์อีกด้วยค่ะ  และผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าวมีอายุการใช้งานที่นาน  นอกจากนั้นกะลามะพร้าวก็ถือได้ว่า เป็นผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น และขอการสนับสนุนส่งเสริมจากรัฐบาล ถึงขั้นส่งออกได้เลยทีเดียว

10/15/2012

อาชีพขายขนมปั้นขลิบไส้ปลา


ปั้นขลิบไส้ปลานั้นเป็นการนำเนื้อปลามาประยุกต์ใช้เป็นไส้ขนม  แล้วเอาแป้งมาปั้นให้เป็นขนม ทำเป็นอาหารว่าง และขายเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ก็ได้ค่ะ เนื่องจากใช้เงินทุนไม่สูงมาก อุปกรณ์ก็ใช้ในครัวเรือนได้

เงินลงทุน
เงินลงทุนเบื้องต้น  5,000 บาท
รายได้ : ชุดละ 40 บาท
กำไร : ประมาณ 30 % ของยอดขาย

แหล่งขาย
สามารถขายได้ในแหล่งชุมชน และแหล่งที่คนพลุกพล่าน เช่น หน้าโรงเรียน ตลาดสด เปิดท้ายขายของ เป็นต้น

กลุ่มลูกค้า
คนที่นิยมรับประทานขนม ทุกเพศทุกวัย

อุปกรณ์
1. ชาม
2. ที่นวด
3. กระทะ
4. กระดาษซับน้ำมัน
5. เคาน์เตอร์  คีออส หรือโต๊ะสำหรับวางขาย

วัตถุดิบและเครื่องปรุง
1. แป้งสาลีสำเร็จรูป 2 ถ้วยวง
2. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
3. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำมัน 6 ช้อนโต๊ะ
5. เกลือ 1/3 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปูนใส 2 ½ โต๊ะ
7. ไข่แดง 2 ฟอง

เครื่องสำหรับทำไส้ปลา
1. ถั่วลิสง 1 ถ้วยตวง
2. หอมใหญ่ 5 หัว
3. ปลาบด 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ
5. หัวผักกาดหวานสับ 1 ช้อนโต๊ะ
6. รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
7. กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ
8. พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
9. ซีอิ๊วขาว ½ ช้อนชา
10. ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา

ขั้นตอนในการขนมปั้นขลิบไส้ปลา
1. ผัดไส้ปั้นขลิบ  โดยตั้งกระทะน้ำมัน พอน้ำมันเริ่มร้อน ใส่รากผักชีที่โขลกละเอียด ตามด้วยเนื้อปลาบด ผัดให้สุก อย่าให้เนื้อปลาติดกัน ใส่หัวผักกาดหวานสับ น้ำตาลปี๊บ ผัดจนน้ำตาลละลายเข้ากัน เติมซีอิ๊วขาวผัดต่อพอแห้ง แล้วใส่ซีอิ๊วดำ ใส่ถั่วลิสงผัดให้เข้ากันจนแห้ง ตักขึ้นใส่ถ้วยพักไว้
2. ผสมแป้งสาลีกับแป้งข้าวเจ้า นวดให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำปูนใส สลับกับน้ำมันพืช นวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนแป้งไม่ติดมือ
3. โรยแป้งสาลีลงบนที่รีดแป้งเล็กน้อย เพื่อเวลารีดแป้งจะได้ไม่ติด จากนั้นนำแป้งไปวางบนที่รีด แล้วรีดแป้งให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วกดแป้งให้เป็นแผ่นกลมเล็กๆ
4. ปั้นไส้ที่ผัดไว้ให้เป็นก้อนกลมเล็กๆ ใส่ลงไปที่แป้ง พับครึ่งอย่าให้ไส้ล้นออกมา กดริมให้ติดกัน จับริมให้สวยงาม นำไปทอดให้เหลือง ใส่ถุงให้สวยงาม

ไขเคล็ดลับอาชีพขายปั้นขลิบไส้ปลา
1. ปรับปรุงสูตรไส้เพิ่มขึ้น เช่น ไส้ถั่ว ไส้เห็ด ไส้เผือก เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
2. การนวดแป้งจะต้องพักไว้ให้แป้งอิ่มตัว  และเวลาคลึงแป้งสำหรับห่อ ควรคลึงให้บางเสมอกัน เวลาทอดจะได้สุกทั่วกัน
3. การทอดต้องใช้น้ำมันมาก ไฟปานกลาง และขณะทอดควรคนบ่อยๆ  เพื่อทุกชิ้นสุกเท่ากัน
4. ไส้ต้องผัดให้แห้ง แป้งจะได้กรอบ และเก็บไว้ได้นาน

อาชีพขายปั้นขลิบไส้ปลา เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ ใครอยากลองทำก็ศึกษาข้อมูลดูนะคะ


10/13/2012

อาชีพขายขนมปุยฝ้าย ขนมมงคล ลงทุนน้อย ขายง่าย

ขนมปุยฝ้าย

อาชีพการขายขนมมงคลหรือขนมปุยฝ้าย นั้นเป็นอาชีพเสริมที่น่าสนใจ ทำง่าย และทำขายกันได้ในยามว่าง วิธีการทำไม่ยาก มาลองดูกันค่ะ

เงินลงทุน
การลงทุนเบื้องต้น : 8,000 บาท
เงินทุนหมุนเวียน ประมาณ 1,000 บาท
ราคาขาย : ชิ้นละ 5 บาท
กำไรหลังหักต้นทุน : ประมาณ 40 % ของยอดขาย
ช่องทางการจำหน่าย : ฝากขายตามร้านทั่วไป  หรือตั้งหน้าร้านเอง ตามตลาด แหล่งชุมชนต่างๆ
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายและโอกาสการขาย : ผู้ชอบรับประทานขนม และช่วงเทศกาลต่างๆ

วัตถุดิบและอุปกรณ์
1. ลังถึง
2. กะละมัง
3. ทัพพี
4. ถ้วยตวง
5. วัตถุดิบต่างๆ สำหรับทำขนมปุยฝ้าย
6. ภาชนะบรรจุขนม
7. เครื่องตีแป้ง
8. ตะกร้อมือ

ส่วนผสมทำขนมปุยฝ้าย
แป้งสาลี 130 กรัม
น้ำตาลทราย 85 กรัม
น้ำสะอาด 120 กรัม
เอสพี (S.P.) 1 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 1 ฟอง
นมข้นหวาน 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
ผงฟู 1 ½ ช้อนชา
กลิ่นนมแมวหรือกลิ่นมะลิ 1 หยด
สีผสมอาหารต่างๆ 1-2 หยด

วิธีทำ
1. ร่อนแป้งกับผงฟูเข้าด้วยกัน พักไว้
2. ผสมน้ำเปล่า 60 กรัม กับ S.P. ใส่อ่างตี ตีด้วยความเร็วสูงสุด จนกระทั่งขึ้นฟู
3. ใส่น้ำตาลทีละน้อย จนหมด ตีต่อประมาณ 2 นาที
4. ใส่ไข่ นมข้นหวาน น้ำมะนาว ตีต่ออีกประมาณ  3 นาที
5. ใส่แป้งในข้อ 1. ลงไปครึ่งส่วน ตะล่อมเบาๆ ด้วยตะกร้อมือ ใส่น้ำที่เหลืออีก ¼ ถ้วย ตะล่อมให้เข้ากันอีกครั้ง
6. ใส่แป้งส่วนที่เหลือ ลงไปทั้งหมด ตะล่อมให้เข้ากันดี หยดกลิ่นนมแมว หรือกลิ่นมะลิลงไปคนให้พอเข้ากัน ปิดฝาพักไว้ 15 นาที
7. ตักแป้งแบ่งใส่สีตามชอบ แต่ต้องให้สีอ่อนๆ
8. ตักใส่ถ้วยหรือพิมพ์กระดาษ ¾ ของพิมพ์ นำไปนึ่งในลังถึง ใช้ไฟกลาง ค่อนข้างแรง ประมาณ 10-15 นาที ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น
9. ทิ้งไว้ให้เย็น บรรจุถุงขาย

ไขเคล็ดลับอาชีพการทำขนมปุยฝ้ายขาย
*ถ้าขนมไม่ขึ้นฟู  แสดงว่า อาจไม่ได้ร่อนแป้ง หรือแม้เพียงฝาลังถึงปิดไม่สนิท ก็ทำให้ขนมไม่ขึ้นได้
* การผสมสีไม่ว่าสีธรรมชาติหรือสีผสมอาหารขอให้สีอ่อนที่สุด
* S.P.  มีขายตามร้านขายเบเกอรี่ทั่วไป คุณสมบัติของ S.P. คือ เป็นสารที่ช่วยให้ขนมขึ้นฟู
* ช่วงแรกที่ทำ ควรทำในปริมาณน้อยก่อน และใช้มือนวดแป้งแทนการใช้เครื่องไปก่อน ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดลงไปได้มาก
* ลักษณะของขนมปุยฝ้ายที่ดี จะต้องเบาฟูเหมือนดอกฝ้าย นุ่ม หน้าขนมจะต้องแตกเป็นแฉก ขนมต้องสดใหม่เสมอ


10/09/2012

อาชีพทำบาร์บีคิวขาย



อาชีพทำบาร์บีคิวขาย
บาร์บีคิวเป็นอาหารประเภทย่างๆ ปิ้งๆ ที่คนชอบรับประทานอีกชนิดหนึ่ง และการทำบาร์บีคิวก็สามารถสร้างรายได้เสริมให้ได้อีกด้วย ดังนั้นหลายๆ คนจึงหันมาย่างบาร์บีคิว ก็ว่ายังมีอีกหลายแห่งที่บาร์บีคิวยังไปไม่ถึง หรือไม่ก็ยังไม่อร่อยพอ ดังนั้น จึงถือว่าเป็นโอกาสให้เราสร้างงานสร้างเงินเป็นอาชีพเสริมได้ค่ะ

เงินลงทุนเบื้องต้นในการขายบาร์บีคิว
ประมาณ 5,000 บาท ซึ่งเป็นค่าเตาย่างประมาณ 1,000 บาท โต๊ะ ถาด ไม้เสียบ ถุงพลาสติกและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 4,000 บาท เพื่อซื้อของสด วัตถุดิบต่างๆ มาใช้ในแต่ละวัน แต่ยังไม่รวมค่าเช่าที่สำหรับการขายนะคะ
ไปขายที่ไหนดี   ตลาดเช้า ตลาดเย็น ตลาดเปิดท้าย สวนสุขภาพที่คนมักไปออกกำลังกาย
ราคาขายไม้ละ 5-10 บาท

 เริ่มต้นทำบาร์บีคิว
1. เตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์
-เนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น ไก่ เนื้อ หมู 1 กิโลกรัม ล้างให้สะอาด แล้วหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคำ
-หัวหอมใหญ่ ตักเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคำ
-พริกหวาน  หั่นสี่เหลี่ยมพอคำ
-มะเขือเทศลูกเล็ก
-สับปะรด ปอกเปลือก เฉือนตาออก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคำ
-เครื่องปรุงสำหรับหมัก ได้แก่
-พริกไทย 1 ช้อนชา
-ซอสมะเขือเทศ  10 ช้อนโต๊ะ
-ซอสแมกกี้ 2 ช้อนโต๊ะ
-ผงปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาลทราย  2 ช้อนโต๊ะ
-ซอสเปรี้ยวหรือใช้จิ๊กโฉ่ 1 ช้อนโต๊ะ
-ซีอิ๊วดำ 1/2 ช้อนโต๊ะ
-เหล้า 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
-เกลือ 1 ช้อนชา
-เนยสำหรับทาระหว่างย่าง
วิธีทำ
1. หมักเนื้อด้วย พริกไทย ซอส ผงปรุงรส น้ำตาล ทรายและเกลือ หมักทิ้งไว้ประมาณ 4 ชั่วโมงโดยแช่ในตู้เย็น
2. นำเนื้อที่หมักแล้วมาเสียบไม้ โดยเริ่มจากเสียบผักลงไปก่อน คือ หอมหัวใหญ่ 1 ชิ้น เนื้อ 1 ชิ้น พริกหวาน 1 ชิ้น เนื้อ 1 ชิ้น สับปะรด 1 ชิ้น เนื้อ 1 ชิ้น แล้วก็เสียบมะเขือเทศปิดท้าย หรือถ้าใครอยากเสียบสลับก็ได้
3. นำไปย่างด้วยไฟปานกลาง หมั่นพลิกบ่อยๆ และระหว่างย่างควรทาเนยและทาน้ำซอสสที่เหลือก้นชามไปด้วย    เพื่อเพิ่มรสชาติ จนบาร์บีคิวสุกเหลืองหอม
 4. การย่างผักต่างๆ ควรย่างให้เกรียมพอดี จะไม่ขม ขื่น หรือเหม็นเขียวค่ะ

หมายเหตุ ควรทดลองทำก่อนออกขายจริง และสัดส่วนสามารถปรับเปลี่ยนได้ค่ะ









10/07/2012

ปลาไข่ชุบแป้งทอด


ปลาไข่ชุบแป้งทอดอาหารที่รับประทานง่าย ได้ประโยชน์จากปลาทั้งตัว ที่เราเห็นกันตามเปิดท้ายต่างๆ พระเอกของรายการนี้คงไม่พ้นปลาไข่ชุบแป้งทอด ซึ่งอร่อย กรุบกรอบ แถมน้ำจิ้มรสเด็ด สนนราคา 5 ตัวประมาณ 20-30 บาท (แล้วแต่ค่าเช่าที่ ถ้าเป็นตามเปิดท้ายของมหาวิทยาลัยก็ประมาณ 5 ตัว 20 บาท แต่ที่อื่นๆ 30 บาท) เราจะเห็นว่า ราคาไม่ถูกเลยนะคะ เพราะว่าปลาไข่  1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 130 บาท  ได้ประมาณ 70 ตัว ซึ่งถ้าเราไปทอดขายอย่างต่ำ 5 ตัว 20 บาท จะมีรายได้ประมาณ 280 บาท หักค่าแป้งทอดกรอบ และเครื่องปรุงต่างๆ ก็จะได้กำไรเกินกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่ากำไรดีทีเดียว ใครสนใจจะขายปลาไข่ชุบแป้งทอดก็ตามมาเลยค่ะ


ส่วนผสมและเครื่องปรุง
1. ปลาไข่ (ควรเลือกเอง ที่ท้องอ้วนๆ ไข่จะได้เยอะ)
2. ไข่ 2 ฟอง
3. แป้งโกกิ 1 ขีด
4. เกลือ ½ ช้อนชา
5. เกล็ดขนมปัง
6. น้ำมันพืชสำหรับทอด

สูตรทำปลาไข่ชุบแป้งทอด
1. ล้างปลาไข่ให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2.  ตีไข่ แล้วนำแป้งลงผสม ใส่เกลือ อย่าให้เหลวมากไป เพราะจะชุบปลาไม่ติด
3.  เทเกล็ดขนมปังใส่จาน
4. นำปลาคลุกแป้งที่ผสมไว้ แล้ว แล้วไปคลุกกับเกล็ดขนมปัง
5. ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อน  ใช้ไฟแรง ซึ่งน้ำมันต้องท่วมปลา ปลาไข่จึงจะสุกกรอบเหลืองดี
6. นำปลาไข่ลงทอด เมื่อสุก ตักขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน
7. ตักขาย 5 ตัว 20-30 บาท พร้อมน้ำจิ้ม ซึ่งถ้าตักใส่กล่องโฟม ต้องตัดให้เป็นช่อง 4 เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยมเพื่อให้ความร้อนระเหยออกไป ปลาไข่ชุบแป้งทอดจะได้ไม่เละด้วยนะคะ

สูตรน้ำจิ้มสำหรับปลาไข่ชุบแป้ง
ถ้าใครไม่อยากทำเอง ก็ใช้ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก หรือน้ำจิ้มไก่ก็ได้ แต่ว่า ถ้าน้ำจิ้มเราอร่อย มีรสชาติไม่เหมือนใคร ลูกค้าก็จะติดใจ และเกิดการบอกต่อ
ส่วนผสมและเครื่องปรุง
1. น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
2. น้ำตาลทราย 100 กรัม
3. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
5. มะขามเปียก 1 ปั้นใหญ่
6. พริกสด 100 กรัม
7. พริกแห้ง 50 กรัม
8. กระเทียมแกะเปลือกแล้ว 100 กรัม
9. น้ำต้มสุกเล็กน้อยเอาไว้เติมถ้าข้นเกินไป
10. ผักชีสำหรับโรยหน้า
(ส่วนผสมปรับเปลี่ยนได้ตามชอบค่ะ)

วิธีทำ
1.ปั่นหรือโขลกพริกสด พริกแห้ง กระเทียมพอแหลก
2.ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู เกลือ
3.คั้นน้ำมะขามเปียกให้ได้ประมาณ 1 ถ้วย แล้วเอามาคนให้เข้ากัน
4.ถ้าข้นเกินไป เติมน้ำต้มสุก ซึ่งรสชาติควรจะเผ็ดนำ เปรี้ยวและหวานเล็กน้อย โรยผักชีเพื่อเพิ่มความหอม
 หมายเหตุ ส่วนผสมและเครื่องปรุงสำหรับอาชีพขายปลาไข่ชุบแป้งนั้นสามารถเพิ่มหรือลดได้ค่ะ

ขอบคุณภาพจาก http://www.อาชีพเสริมอิสระ.com

9/19/2012

เพาะถั่วงอกขาย ง่าย รายได้ดี


ถั่วงอกเป็นพืชผักที่มีโภชนาการสูงโดยเฉพาะโปรตีน เกลือแร่และวิตามิน และเป็นที่นิยมรับประทานสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายรูปแบบ ที่รู้จักกันดี ก็เช่นใส่ในก๋วยเตี๋ยว กินเป็นผักแนมคู่กับขนมจีน ถ้าไม่ใช่ถั่วงอกก็เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ไม่อร่อยครบรสและที่สำคัญถั่วงอกเป็นพืชผักชนิดเดียวที่ใช้เวลาในการเพาะจนถึงเก็บเกี่ยวใช้เวลาสั้นที่สุด หมายความว่า อาชีพเพาะถั่วงอกนั้นทำเงินกลับมาได้เร็วมาก โดยใช้เวลาประมาณ 3-4 วันแล้วแต่ว่าเพาะในฤดูไหน ถ้าฤดูหนาวก็ใช้เวลานานกว่าปกติ

เงินลงทุนเพาะถั่วงอกขาย
อาชีพเพาะถั่วงอกขาย ไม่ได้ใช้เงินทุนมากมายเลย เพียงแค่ 1,500 บาท ก็ทำได้แล้ว
รายได้เพาะถั่วงอก ประมาณ 1,400 บาทต่อเมล็ดถั่วเขียว 15 กิโลกรัม

ดังนั้นถ้าใครอยากเพาะถั่วงอกเป็นอาชีพเสริมก็ศึกษาวิธีการเพาะได้ดังนี้

วิธีการเพาะถั่วงอก
เพาะในภาชนะได้หลายแบบ ก็ให้แต่ละท่านอ่านและพิจารณาดูว่า แบบไหนสะดวกกับการจัดการที่สุด

1. เพาะในโอ่ง

วัสดุอุปกรณ์
โอ่งน้ำ 5 ใบ
กระสอบข้าวสาร
อ่างล้างถั่วงอก
สายยาง
เมล็ดถั่วเขียว

ขั้นตอนการทำ
1. นำโอ่งน้ำ หรือโอ่งลายมังกรขนาดกลาง 5 ใบ มาเจาะรูที่ก้นโอ่งขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. 5 รูต่อใบ เพื่อให้น้ำไหลออก หลังจากนั้นนำเมล็ดถั่วเขียวน้ำหนัก แช่ในน้ำสะอาด 1 วัน
2. เมื่อแช่น้ำจนได้ที่แล้วให้ล้างเมล็ดถั่วเขียวให้สะอาด พร้อมกับช้อนเมล็ดถั่วที่ลอยน้ำทิ้งไป เพราะเป็นเมล็ดเสีย ใช้การไม่ได้ หลังจากนั้นนำเทลงในโอ่งๆละ 3 กก. ปิดทับด้วยกระสอบข้าวสาร ใช้ระยะเวลาในการเพาะ 3 วัน โดยแต่ละวันต้องรดน้ำวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น
3. เมื่อครบ 3 วันจะได้ถั่วงอกมีความยาวประมาณ 3 ซม. น้ำหนักต่อโอ่ง 35-38 กก. ซึ่งรวม 5 โอ่งจะได้ถั่วงอกประมาณ 175 กก.



2. การเพาะถั่วงอกในเข่งไม้ไผ่
1. การเลือกเข่งไม้ไผ่ ควรใช้เข่งไม้ไผ่ผิวเรียบ ละเอียด สานเป็นเข่ง
2.  ล้างถั่วเขียวให้สะอาด ปูเรียงลงไปจนได้ความสูง 1/2 ของเข่ง แล้วปูกระสอบป่านคลุมผิวหน้าเข่ง หรือใช้ไม้ไผ่ขัดแตะที่ผิวหน้า หรืออาจจะใช้ก้อนกรวดเรียงทับผิวหน้าบนอีกชั้นหนึ่ง
3. วางไว้ในที่ร่มและใช้น้ำสะอาด รดทุกๆ 2 ชั่วโมง
4.ผ่านไป  3 วันเก็บขายหรือนำมาทานได้

3.การเพาะถั่วงอกในปี๊บอะลูมิเนียม
1. เจาะรูที่ก้นปี๊บ แล้ววางแคร่ไม้เล็กๆ รองไว้ที่ก้นปี๊บ เพื่อให้ระบายน้ำง่าย
2. ปูผ้าพลาสติกกรีดเป็นริ้วๆ ลงบนแคร่ไม้ วัสดุที่ใช้เพาะถั่วงอกเป็นทรายหยาบ หรือขี้เถ้าแกลบที่สั่งเผาเฉพาะ (โดยที่ตัวแกลบยังอยู่ในสภาพที่เป็นรูปตัวแกลบอยู่)ปูทรายหยาบ หรือขี้เถ้าแกลบหนา 1.5 นิ้ว ทับผิวหน้าเมล็ดถั่วด้วยทรายหยาบ หรือขี้เถ้าแกลบ สลับกันระหว่างชั้นถั่วเขียว ประมาณ 5-6 ชั้น
3. ความสูงของเมล็ดถั่วเขียวในปี๊บไม่เกิน 1/2 ของความสูงปี๊บ
4. รดน้ำทุกวันๆ ละ 3 ครั้ง คือ เช้า  เย็น และกลางดึก กะเวลาโดยประมาณ ได้ดังนี้ เช้า คือ ตั้งแต่แปดโมงเช้า ถึง สิบโมงเช้า บ่ายประมาณ สี่โมงเย็น และกลางคืน ประมาณ เที่ยงคืน
5. ใช้เวลา 3 วัน ก็เก็บขายหรือบริโภคได้

4.การเพาะถั่งงอกในตะกร้าพลาสติก
1. ใช้ตะกร้าผลไม้ (แบบที่ใช้ในตลาดผลไม้ขายส่ง) เนื่องจากตะกร้าประเภทนี้จะมีรูระบายน้ำอยู่แล้ว จึงควรกรุด้วยกระสอบปุ๋ยก่อน
2. นำเมล็ดถั่วเขียวที่แช่น้ำแล้ว 1 คืน มาเทใส่ตะกร้าแล้วคลุมด้วยผ้ากระสอบปุ๋ย
3. รดน้ำด้วยสายยางทุกๆ 1-2 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วัน
4. เก็บขายหรือบริโภคได้

5.การเพาะถั่งอกในถังพลาสติก
 1. นำถังพลาสติกทึบแสงเจาะรูระบายน้ำที่ก้นถังตามแนวตะเข็บเพื่อระบายน้ำ
2. เจาะรูด้านข้างถังเพื่อระบายอากาศ
3. ล้างเมล็ดถั่วเขียวให้สะอาด
4. แช่ถั่วเขียวเป็นเวลา 10 ชั่วโมงในน้ำอุ่นประมาณ 55 องศาเซลเซียส (ตอนเริ่มแช่ถั่ว) (น้ำร้อนต่อน้ำเย็น 1 : 1 )
5. ถ่ายเมล็ดถั่วลงในถังเพาะโดยนำฟองน้ำมาปิดด้านบนถั่ว แล้ววางถังเพาะไว้ในที่มืด
6. รดน้ำอย่างสม่ำเสมอทุกๆ ชั่วโมงครึ่ง โดยการรดให้รดผ่านฟองน้ำ
7. ประมาณ 1 วัน ถั่วเขียวจะเริ่มงอกโดยมีรากสีขาวเล็กๆ  ถ้าทำเพื่อการค้า อาจจะใส่สารถั่วอ้วน เพื่อให้ดูน่ากิน  (สารถั่วอ้วน   เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ช่วยให้ถั่วงอกที่เพาะอ้วนและโตเร็ว ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น แต่อย่างไรมันก็คือสารเคมี ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยงนะคะ หรือถ้าเพาะทานกันในครอบครัวก็ไม่ต้องใช้ เพราะจะปลอดภัยกว่า)  แต่ก่อนรดสารถั่วอ้วนควรงดให้น้ำก่อนและหลัง 2 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวหน้าเมล็ดแห้ง  หลังจากนั้นก็รดน้ำตามปกติ จนกระทั่งครบ 2 วัน ก็ให้รดสารถั่วอ้วนอีกครั้ง โดยอัตราการใช้สารใช้สารขึ้นอยู่กับปริมาณถั่วเขียวที่ใช้เพาะ เมื่อเพาะครบ 3 วัน (ประมาณ 65-72 ชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มแช่ถั่วในน้ำ) แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับอุณหภูมิในช่วงฤดูกาลที่เพาะ เช่น ฤดูร้อนอาจใช้เวลาเพียง 65 ชั่วโมง แต่ฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำอาจใช้เวลานานถึง 72 ชั่วโมง ก็สามารถนำไปขายหรือบริโภคได้

เคล็ดลับ
1. เมล็ดพันธุ์ควรเป็นเมล็ดถั่วเขียวผิวมัน หรือผิวดำ
2. หากจะเพาะถั่วงอกในหน้าหนาว เวลาในการเพาะจะเพิ่มเป็น 4 วัน เพราะถั่วจะงอกช้ากว่าปกติ
3. หากมีเงินทุนและเพาะถั่วงอกจำนวนมาก ควรซื้อเครื่องปั็มน้ำพร้อมสายยาง ถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มประมาณ 20,000 บาท
4. วิธีรดน้ำควรจะมีตะแกรงรองรับแรงดันน้ำที่ไหลมาตามสายยาง เพื่อป้องกันไม่ให้แรงดันน้ำเซาะถั่วงอกแตกกระจาย ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของถั่วงอก และทำให้ถั่วงอกมีลักษณะหงิกงอ เสียรูปทรง
5. ถั่วงอกเมื่อเพาะเสร็จเรียบร้อยแล้วในถัง หรือภาชนะเพาะ จะมีลักษณะขาวสวย แต่เมื่อนำออกจากถังเพาะและถูกลมหรือแสงสว่างนานเกิน 3-4 ชั่วโมง ก็จะเกิดการสังเคราะห์แสง สีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว และใบเลี้ยงจะเริ่มโผล่ออกมาทำให้ไม่น่ารับประทาน







9/08/2012

แฟรนไชส์อเมซอน

แฟรนไชส์อเมซอน 
คุณรู้หรือไม่ว่า ร้านกาแฟอเมซอนเป็น ธุรกิจหนึ่งในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. และถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของปตท.เลยก็ว่าได้ เนื่องจากผู้ขับขี่ยานยนต์นิยมที่จะพักรถ เติมน้ำมัน เข้าห้องน้ำ แวะเซเว่นและซื้อกาแฟอเมซอน ซึ่งผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่คิดว่ากาแฟอเมซอนมีรสชาติอร่อยเข้มข้น ถูกใจ นอกจากนั้น ร้านกาแฟอเมซอนก็เป็นแหล่งพักผ่อนได้อย่างดีสำหรับคนเดินทาง เนื่องจากมีต้นไม้ สวนหย่อม และที่นั่งให้ผ่อนคลายได้ก่อนจะเดินทางต่อไป

9/06/2012

ขายปอเปี๊ยะสด


ปอเปี๊ยะสดเป็นอาหารที่ทานง่าย อิ่มท้อง ได้คุณค่าทางอาหารครบถ้วน สามารถทานได้ทั้งเป็นอาหารว่างและอาหารหลัก ผู้ที่อยากควบคุมน้ำหนักก็ทานได้เพราะมีผักเยอะ  และทำขายก็ได้อีกต่างหากถ้าคิดจะทำขายต้องมีใจรักในการทำอาหารและค้าขาย สามารถตั้งขายหน้าบ้าน ใช้รถเข็น หรือไปขายที่ตลาดก็ได้ ขายปอเปี๊ยะใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 บาท
เครื่องปรุงและส่วนผสม (สำหรับ 100 จาน)
1. หมูตั้ง 1 กก.
2. กุนเชียง 1 กก.
3. ไข่เจียว 25-30 ฟอง
4. เนื้อปู 1.5 กก.
5. แตงกวา 1.5 กก.
6. ต้นหอม ½ กก.
7. พริกชี้ฟ้า 1 กก.
8. ถั่วงอก 4 กก.
9. เต้าหู้ 25 ก้อน
10. แผ่นปอเปี๊ยะ กว้าง 6 นิ้ว 
11. หมูสามชั้น 0.5 กก.
12. ซีอิ๊วดำ 
13. น้ำตาลปี๊บ
14. โป๊ยกั๊ก อบเชย
15. น้ำส้มสายชูอย่างดี 1 ขวด
สูตรน้ำราดปอเปี๊ยะรสเด็ด
ส่วนผสม
1. แป้งหมี่ ½ กก.
2. น้ำ 5 กก.
3. น้ำตาลทราย 1.5 กก.
4. ลูกบ๊วย 20 เม็ด
5. ซีอิ๊วกะให้สีพอสวย
6. งาขาวคั่ว 1 ขีด
7. เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. บดลูกบ๊วยดองเลือกเอาแต่เนื้อ
2. เอาแป้งหมี่ทั้งหมดมาแช่น้ำ 5 กก. เอากระชอนมากรองพร้อมกับบดแป้งไปด้วย อย่าให้แป้งจับเป็นก้อน 
3. เอาส่วนผสมทุกอย่างมาใส่ในกระทะ เปิดไฟแรงก่อนพอเริ่มเดือดก็หรี่เป็นไฟอ่อน เคี่ยวและคนให้เข้ากัน อย่าให้ติดกระทะ อย่าให้เป็นเม็ดแข็ง สังเกตว่าน้ำเริ่มเหนียว ก็ยกลงเทใส่ภาชนะทิ้งไว้
4. ใส่พริกป่นประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วคนให้เข้ากัน รสชาติน้ำจิ้มที่ได้ จะมีสามรสคือ เปรี้ยว หวาน เผ็ด รสกลมกล่อม
5. น้ำจิ้มนี้ต้องทำแบบทิ้งไว้ 1 คืน คือทำวันนี้ แล้วค่อยขายวันรุ่งขึ้น เพื่อให้น้ำจิ้มข้น ซึ่งตอนเช้าก่อนจะขายก็ให้ลอกหน้าของน้ำจิ้มที่ทิ้งไว้ซึ่งจะเกาะกันเหนียวเป็นแผ่นทิ้งไป เพียงเท่านี้ก็จะได้น้ำจิ้มรสอร่อยพร้อมขายได้แล้ว
วิธีทำพะโล้
1. นำเต้าหู้มาหั่นเป็นชิ้นขนาด 2X6 ซม.แล้วนำมาทอด สุกเหลืองตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
2.ตั้งน้ำพอประมาณ พอน้ำเดือดใส่ซีอิ๊วดำ น้ำตาลปี๊บ หมูสามชั้นหั่นเป็นชิ้นไม่ต้องเล็กมาก ตามด้วด้วยเต้าหู้ที่ทอดแล้ว เคี่ยวต่อไปพอให้น้ำพะโล้เข้าเนื้อเต้าหู้จนเหลือน้ำขลุกขลิก
ต่อไปเป็นการเตรียมเครื่องเคราที่ใช้ในการทำปอเปี๊ยะสด
1. ลวกถั่วงอก แล้วทิ้งไว้ให้เย็น
2. หมูตั้งหั่นเป็นชิ้นยาวประมาณ 5 ซม.  ถ้าจะให้อร่อยตามสูตรที่ใช้ประจำ ให้ไปซื้อที่ตลาดเก่าเยาวราช หลังธนาคารไทยพาณิชย์สาขาเยาวราช 
3. กุนเชียงนำไปทอดแล้วหั่นตามยาว 
4. ทำไข่เจียวแบบบาง คือ นำไข่มาตีรวมกันทั้งไข่ขาวและแดง ตีให้ฟู ตั้งกระทะน้ำมันใช้น้ำมันพืชทากระทะให้ทั่ว เปิดไฟอ่อนๆ พอกระทะร้อน เทไข่ลงไปแล้วตะแคงกระทะ ให้ไข่เจียวกระจายเต็มกระทะเป็นรูปวงกลม และต้องให้บางที่สุด ซึ่งการทอดไข่นี้หากทำแรกๆ อาจจะหนาไป แต่พอชำนาญก็จะได้ไข่เจียวแบบบาง เมื่อทอดไข่เสร็จแล้วให้ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาหั่นฝอย
5. เนื้อปู ควรซื้อเนื้อกรรเชียงปู เพื่อให้ได้เนื้อปูเป็นเส้นสวย นำเนื้อปูมาฉีกให้เป็นเส้นเล็กลง
6. แตงกวา ล้าง ตัดหัวท้าย ผ่าซีกตามยาว 
7. หั่นพริกสดเป็นแว่นใส่น้ำส้มสายชูไว้ให้ลูกค้าตักเติมตามใจชอบเมื่อเครื่องครบแล้ว ก็ถึงเวลาขาย
เริ่มขายได้เลย
1. นำแผ่นปอเปี๊ยะมาวางแล้วใส่ถั่วงอกลงไปกะให้พอดีว่าม้วนได้ไม่เล็กหรือใหญ่มาก วางตรงกลางแผ่นปอเปี๊ยะ
2. วางเต้าหู้พะโล้ ใส่แตงกวา 2 ชิ้น หมูตั้งและกุนเชียงอย่างละชิ้น ใส่เนื้อปู โรยหน้าด้วยไข่หั่นฝอย
3. ม้วนแผ่นปอเปี๊ยะให้เป็นวงกลม พับปิดหัวปิดท้าย นำมาหั่นใส่จาน ราดหน้าด้วยน้ำจิ้ม แล้ววางต้นหอมไว้ริมจาน
4. ใน 1 จาน ใ
ช้ปอเปี๊ยะ 2 แผ่น หากใส่เนื้อปูคิดจานละ 35 บาท หาไม่ใส่คิดจานละ 25 บาท 
สูตรนี้ลูกค้าหลายคนติดใจ ตามมากินกับอาแปะ จนกระทั่งทำงานแล้วก็ยังกลับมากิน คิดดูว่าจะอร่อยแค่ไหน แต่ว่าต้องมีการฝึกทำก่อนที่จะออกไปขายจริงเพื่อให้รสมือคงที่
 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://xn--b3c4bjhb3bcsf6an2ach0o.com/ขายปอเปี๊ยะสด-สูตรอาแปะ/

8/08/2012

รวยด้วย ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูไส้หมู

ข้าวเกรียบปากหม้อ
ข้าวเกรียบปากหม้อ


ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูไส้หมู ฟังดูแล้วมันก็เป็นอาชีพธรรมดาที่พบเห็นกันได้ทั่วไป แต่ว่า ถ้าคุณมีฝีมือดี ขนมแป้งไม่หนาไม่บางเกินไป ไส้กลมกล่อม ราคาพอรับไหว ไม่แน่นะ กล้ามแขนคุณอาจจะโตขึ้นเพราะว่าต้องละเลงแป้งและปั้นแป้งตลอดเวลา เหมือนกับเจ้าขนมเจ้าหนึ่งแถวบ้านผู้เขียนที่เค้าจะปิดร้านก่อนร้านอื่น เพราะว่าของหมด แถมเวลาสั่งแล้วห้ามใจร้อน เพราะว่ามีอีกหลายคิวอีกต่างหาก ถือว่าคัดคนที่อยากกินจริงๆ หุหุ
ดังนั้น อาชีพเสริมอิสระวันนี้ จึงได้นำสูตรการทำข้าวเกรียบปากหม้อและสาคูไส้หมูมาฝากกัน เพราะว่าขนม 2 อย่างนี้สามารถทำไปพร้อมๆ กันได้

เงินลงทุน 
ประมาณ 3,000 บาท (เฉพาะอุปกรณ์ คือ หม้อดินหรือหม้ออะลูมิเนียขนาดกลาง เตาถ่าน ไม้พายเล็กๆ ถาด ถุงพลาสติก (ร้อน) กล่องโฟม ไม้จิ้ม)

ข้าวเกรียบปากหม้อ
มีสองส่วนคือ ตัวแป้งและไส้แป้ง

ตัวแป้ง ส่วนผสมคือ
1. แป้งมันสำปะหลัง 1 กิโลกรัม
2. แป้งข้าวเจ้า 1 กิโลกรัม
3. น้ำ 4 กิโลกรัม

วิธีทำ
นำแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และน้ำมาผสมกัน

ไส้แป้ง ส่วนผสมคือ
1. หัวผักกาดหวาน 1 กิโลกรัม
2. น้ำตาลปี๊บ 1 กิโลกรัม
3. ถั่วลิสง 0.5 กิโลกรัม
4. หอมแดงหั่นละเอียด 1 กิโลกรัม
5. รากผักชีโขลกละเอียด 10 ราก
6. น้ำมันพืช 0.5 กิโลกรัม
7. เกลือ 0.5 ช้อนชา

วิธีทำไส้แป้ง
1. ล้างหัวผักกาดหวานให้สะอาดแล้วสับให้ละเอียด
2. คั่วถั่วลิสงเอาเปลือกออก แล้วตำไม่ต้องละเอียดนัก
3. ใส่น้ำมันลงกระทะ นำหอมแดงและรากผักชีมาผัดให้เหลือง
4. ใส่หัวผักกาดหวานสับ น้ำตาลปี๊บ เคี่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วใส่เกลือเล็กน้อย คลุกให้ทั่ว
5. นำถั่วลิสงที่ตำมาคลุกับไส้ที่ผัดไว้ให้ทั่ว จะได้ไส้ที่มีความเหนียวพอดีๆ ตักใส่ชาม พักไว้

ลงมือขายกันเถอะ!!!
ข้าวเกรียบปากหม้อ
วิธีทำ
1. เอาน้ำใส่หม้อดินหรือหม้ออะลูมิเนียมประมาณ 3/4 หม้อ แล้วใช้ผ้าขาวบางขึงปากหม้อให้ตึง มัดด้วยเชือกรอบคอหม้อให้แน่นหนา แต่ต้องเหลือปากหม้อไว้เล็กน้อยเพื่อให้ไอน้ำออกได้
แล้วยกหม้อขึ้นตั้งไฟ ผิดฝา พอน้ำเดือดจึงเปิดฝาออก ตักแป้ง 1 ช้อน ต่อ 1 วง ละเลงเป็นวงกลมบนผ้า ให้ทั่ว แล้วปิดฝา
2.เมื่อแป้งสุก  เปิดฝาออกตักไส้หยอด อย่าให้มากเกินไปจนไม่เช่นนั้นเวลาพับแป้งจะไม่สวย ไส้ทะลักออกมา
3. ใช้ไม้พายเล็กๆ ชุบน้ำ แซะแผ่นแป้งจากด้านล่าง พับเป็นสี่เหลี่ยมห่อไส้ให้สวยงาม ตักใส่ถาด พรมด้วยน้ำมันกระเทียมเจียวเพื่อไม่ให้ขนมติดกัน
4. เวลาตักขายก็ใส่กล่องโฟมที่รองด้วยใบตอง แล้วแถมเครื่องเคียง คือ ผักกาดหอม ผักชี พริกสด กระเทียมเจียว และที่สูตรเด็ดคือ หัวกะทิข้นๆ สัก5 ช้อนโต๊ะใส่ถุงเล็กๆ มัดปิดปากไปให้ด้วย เพราะผู้เขียนเคยชิมทั้งชนิดที่มีกะทิให้และไม่มีกะทิให้ รสชาติขนมที่มีกะทิราดจะครบรสจริงๆ ทั้งหวานเค็มมันเผ็ด อร่อยสุดๆ

และยังมีขนมที่อีกแบบที่ทำคู่กันไปได้ แบบแบ่งพื้นที่ครึ่งๆ ของผ้าขาวบ้าง นั่นคือ สาคูไส้หมู (ชื่อบอกว่าไส้หมู แต่สังเกตเวลาเค้าขาย ก็ไม่ได้แยกไส้กันนะคะ ก็ใช้ใส่แบบเดียวกันกับข้าวเกรียบปากหม้อ สงสัยเป็นไส้หมูเจล่ะมั้ง)
เรามาดูส่วนผสมและขั้นตอนการทำกัน
ส่วนผสมของสาคูไส้หมู
1. สาคูเม็ดเล็ก 1 ถ้วยตวง
2. น้ำร้อน 1/2 ถ้วยตวง

ขั้นตอนการทำ
1. นำสาคูมานวดกับน้ำร้อนจนแป้งสุกกึ่งๆ ปั้นเป็นก้อนกลมๆ ได้ กดให้แบน แล้วนำไส้ใส่ตรงกลาง ดึงแป้งสาคูปิดให้มิดชิด ปั้นเป็นก้อนกลม เรียงบนปากหม้อ ปิดฝา พอสุกตักใส่ถาด พรมด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว พร้อมตักขาย
2. เวลาขายก็ตักใส่กล่องโฟมที่รองด้วยใบตอง แล้วแถมเครื่องเคียง คือ ผักกาดหอม ผักชี พริกสด กระเทียมเจียวโรยหน้า

ถ้าบางคนคิดว่า พื้นที่ผ้าขาวบางมันไม่พอที่จะทำขนมทั้งสองอย่าง ก็สามารถแยกสาคูมานึ่งต่างหากในลังถึงได้ แต่ต้องรองด้วยใบตองที่เช็ดให้สะอาดเสียก่อน ปริมาณขนมที่ได้ก็จะเยอะขึ้น ทันกับลูกค้าที่มารอต่อคิว

ราคาขาย 25-30 บาทต่อชุด

แต่อย่างไรก็ตามคนที่คิดจะค้าขายต้องมีความอดทน ขยัน พากเพียร  ดังสุภาษิตคนค้าขายที่ผู้เขียนขอฝากไว้ "อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา"

8/02/2012

อาชีพขายขนมครก

อาชีพขายขนมครก

ขนมครกเป็นขนมไทยที่คุ้นหู คุ้นลิ้นและคุ้นตาคนไทยมานานแล้ว เนื่องจากรสชาติที่หอมมันของกะทิทำให้หลายคนติดใจและชื่นชอบ สมัยก่อนขนมครกนี้เป็นขนมที่ทำรับประทานกันในบ้าน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การทำขนมรับประทานเองในบ้านเป็นอะไรที่รู้สึกว่ายุ่งยาก ซื้อง่ายกว่า อาชีพทำขนมขายต่างๆ จึงเกิดขึ้น และในครั้งนี้เราขอแนะนำอาชีพที่ต้นทุนไม่สูง อุปกรณ์ไม่เยอะ อาศัยความชำนาญนิดหน่อย ลูกค้าก็ติดใจ นั่นคือ ขายขนมครก เพราะฉะนั้น เรามาขายขนมครกเป็นอาชีพเสริมกันดีกว่า

งินลงทุน
ประมาณ 4,000 บาท

อุปกรณ์ที่ใช้
1. เตาขนมครก
2. พิมพ์ขนมครกพร้อมฝาครอบ ถ้าจะให้ขนมหอม ก็ควรใช้พิมพ์ที่เป็นดินเผา แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้แบบโลหะแทนก็ได้
3. หม้อใส่แป้ง
4. ถ่าน
5. อุปกรณ์จิปาถะ เช่น กระทง ใบตอง หรือแผ่นโฟม
6. ถ้าไม่มีหน้าร้านก็อาจจะซื้อรถเข็น ราคาประมาณ 4,000 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)

วิธีทำขนมครกแบบมืออาชีพ
ขนมครกนั้นจะมี2 ส่วนคือ ส่วนของตัวแป้งและส่วนของหน้ากะทิ หน้านั้นดัดแปลงได้ตามยุคสมัย เช่นสมัยก่อน ใส่แค่ต้นหอมก็ขายดิบขายดีแล้ว แต่สมัยนี้ต้องเพิ่มหน้าเผือก ฟักทอง ข้าวโพด ฯลฯ มาเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าด้วย

ส่วนผสมของตัวแป้ง
1. ข้าวสารเจ้า 1.5 กิโลกรัม
2. มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม
3. น้ำเดือด 6 ลิตร
4. ข้าวสุก 1 ถ้วยตวง

การทำตัวแป้งขนมครก
ผสมส่วนผสมเกือบทุกอย่างเข้าด้วยกัน ยกเว้นน้ำเดือด ซึ่งจะต้องค่อยๆ ใส่ แล้วคนไปเรื่อยๆ จนน้ำเดือดหมด  ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงนำไปโม่ให้ละเอียด เอาแต่น้ำ พักไว้
ส่วนผสมหน้ากะทิ
1. มะพร้าวขูด 1.5 กิโลกรัม
2. น้ำตาลทราย 0.5 กิโลกรัม
3. เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำเปล่า 6 ถ้วย

วิธีทำหน้ากะทิ
คั้นมะพร้าวให้ได้กะทิ 9 ถ้วย ใส่น้ำตาลเกลือ คนให้น้ำตาลละลาย กรองด้วยผ้าขาวบาง พักไว้

วิธีการหยอดขนมครก
(ถาดพิมพ์ขนมครกนั้น ถ้าซื้อมาใหม่ๆ ก่อนใช้ครั้งแรกให้เช็ดด้วยไข่แดงก่อน แล้วจึงเช็ดด้วยน้ำมันพืช ส่วนครั้งต่อไป ให้ใช้น้ำมันพืชอย่างเดียว และเมื่อเลิกขาย ให้เช็ดพิมพ์ให้สะอาด และโบราณท่านว่าห้ามล้างโดยเด็ดขาดมิฉะนั้นขนมจะแคะยาก ติดพิมพ์)
1. นำถาดพิมพ์ขนมครกตั้งไฟอ่อนๆ เช็ดให้สะอาดด้วยน้ำมันพืชเล็กน้อยให้ทั่วทุกหลุม
2. พอถาดร้อนก็ตักตัวแป้งหยอดลงหลุม ประมาณ ¾ เพราะต้องเผื่อเนื้อที่ให้หน้ากะทิด้วย หยอดประมาณ 3-4 หลุมก็หยอดหน้ากะทิตาม ทำเช่นนี้จนหมด ถ้าจะหยอดหน้าต่างๆ เช่น ต้นหอม เผือก ข้าวโพดก็หยอดตอนนี้เลย แล้วปิดฝาไว้ประมาณ 6 นาที
3. สังเกตขอบขนมครกเริ่มเป็นสีน้ำตาลก็ใช้ได้แล้ว

ราคาขายขนมครก ขายได้ตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป ประมาณ 8 คู่ หรือแล้วแต่หน้าขนม รายได้ของการขายขนมครกประมาณวันละ 500 บาท แล้วแต่ทำเล ถ้าได้หน้าตลาดหรือแหล่งชุมชนก็จะดีมาก และที่สำคัญต้องขายให้สม่ำเสมอ พัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ ถ้าฝีมือดีซะอย่าง ต่อให้อยู่ในซอกหลืบ คนซื้อก็ยินดีมุดเข้าไปซื้อจนได้  confirm!!!


3/09/2012

ไอเดีย หารายได้พิเศษ

คนที่กำลังคิดจะหารายได้พิเศษ วันนี้เราลองมานั่งจับเข่าคุยกันเพื่อจุดประกายไอเดีย การหารายได้เข้ากระเป๋ากันดีกว่า อย่ารอแต่รายได้จากเงินเดือนหรืองานประจำกันอยู่เลยครับ ยุคนี้ข้าวของแพงบรม มีตังค์ร้อยเดียว ไม่พอค่าข้าววันนึงแน่ๆ ดังนั้น ทุกคนต้องคิดหาช่องทาง สร้างรายได้พิเศษกันไว้ ดังนั้นจึงอยากจะมาสุมหัวกัน เพื่อคิดช่องทางในการสร้างรายได้ ที่ 2 3 4... ไม่รอต้องแค่เงินเดือนอย่างเดียว

ขายกาแฟ นมสด ขนมปังสังขยา ก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ กระแสการนิยมดื่มกาแฟของคนไทยนั้น กำลังมาครับ เราจะเห็นร้านขายกาแฟเกิดขึ้นมากมาย ทุกมุมถนน ทั้งการแฟ สด กาแฟโบราณ หรือแม้แต่ กาแฟรถพ่วง ของกินประเภทเครื่องดื่มนั้นขายง่ายอยู่แล้วเพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อนถึงร้อนมากที่สุด... ร้อนตับแลบว่างั้น

แนวคิดเปิดร้านขนมปังสังขยา กาแฟ นมสด ก็น่าจะเวิร์ค บริการกาแฟ หอมหวาน มันอร่อย เพราะชงด้วยนมสด 100 % ขนมปังสังขยาใบเตย และนมสดๆตุ๋นร้อนๆ ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มได้หลายประเภท มีคุณค่าต่อสุขภาพ ช่องทางสร้างราย ได้ พิเศษนี้จึงไม่ควรมองข้าม

ขายแว่นตา และน้ำหอม,เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า นาฬิกา,ขายเสื้อผ้ามือสองเหมือนกัน,ถักตุ๊กตาขาย,เสื้อผ้ามือสอง ถ้าไม่เกี่ยงเรื่องราคา อยากจะขอแนะนำที่ตลาดปัฐวิกรณ์ ที่สุขาฯ1 ขายง่ายๆ ค่าเช่าที่ไม่แพงด้วย ขายได้ตั้งแต่บ่าย 3 ถึง 2ทุ่ม
ขายเสื้อผ้ามือ 2 แถวถนนข้าวสาร,เสื้อผ้า ลองๆมองหาเสื้อผ้าที่โละจากโรงงาน ที่เขาขายตัดราคา ไม่แพง เสื้อพวกนี้คุณภาพดี เช่นเขาส่งให้เราตัวละ 25 บาท เราเอาไปขายต่อ 3 ตัว 100 ตามตลาดนัดเปิดท้าย ทำกำไรให้เราได้งามไม่น้อย

แหล่งสร้างราย ได้พิเศษอีกช่องทางหนึ่งคือ รับสบู่สมุนไพรจากโรงงานมาขาย อาจจะเปิดหน้าร้านขายเอง หรือฝากขายตามร้านต่างๆ หรือขายทางอินเตอร์เน็ต เปิดเป็นร้านค้าออนไลน์ได้ด้วย ถ้าทำเว็บไซต์เองไม่เป็นก็จ้างเขาทำ เดี๋ยวนี้ราคาไม่แพงเลย มีเริ่มต้นที่หลักพันเท่านั้น

ส่วนใครที่ชอบทางด้านการเกษตร ก็เพาะต้นไม้ขาย หรือเพาะเห็ดขายก็ได้ โดยเฉพาะเห็ดขอน เคยไปถามเขาบอกว่าตก กก. 60-100 บาท, ตัดวันละ 3 ครั้ง ก้อนเห็ดจะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน แล้วแต่การดูแลรักษาของเรา แต่ต้องมีสถานที่กับเงินทุนไม่มากมาย หาพื้นที่ว่างๆข้างบ้าน ทำเป็นตัวตัวโรงพอบังแดดบังฝน แค่เดือนครึ่ง คืนทุน ที่เหลือกำไร ลองทำเล็กๆก่อนก็ได้ เล็กๆก่อนตามหลักแนวเศรษฐกิจพอเพียง ประหยัดค่ากับข้าวในครัวเรือนของเราได้ด้วย หรือต้นไม้ เพาะเป็นกระถางเล็กๆ พวก แค็กตัส หรือกระบองเพชร ตกแต่งให้สวยๆไปนั่งขายตามถนนคนเดินหรือเปิดท้าย เห็นขายดิบขายดี ต้นทุนกระถางล่ะไม่กี่บาท เราตั้งราคาขายได้ที่ 20-100 บาท แล้วแต่ขนาดและทรงตัว

นอกจากนี้ ยังมีช่องทางสร้างรายได้พิเศษให้เราอื่นๆอีกเช่น หาซื้ออะไหล่รถยนต์เก่ามาขายต่อ สำหรับนที่ถนัดทางช่าง หรือซ่อมมอเตอร์ไซค์ เริ่มเปิดจากร้านเล็กๆก่อน หาเวลาว่าง เสาร์-อาทิตย์ ไปเรียนหาความรู้เพิ่มเติม ฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ บ้านเราคนใช้ มอเตอร์ไซค์เยอะมาก มีทั้งเด็กซิ่ง เด็กแว๊น เต็มไปหมด ลูกค้าเรามีรออยู่แล้ว ขายอุปกรณ์ตกแต่งรถ จิปาถะ
ช่องทางหารายได้อื่นๆอีกเช่น ขายที่แขวนโทรศัพท์ ติดชื่อพวงกุญแจ ทำแซนด์วิช กับ ขนมปังขายฯลฯ นั่งคิดไปเรื่อย ทั้งวันก็ไม่หมด เราถนัดอะไรก็เริ่มจากตรงนั้น แล้วค่อยๆต่อยอดไปเรื่อยๆ ความก้าวหน้าในอาชีพการงานเราต้องมีแน่นอน ที่สำคัญ ต้อง ขยัน อดทน ....อย่าขี้เกียจ รับรองรุ่งแน่นอน