โอกาสดีมาถึงแล้ว สำหรับท่านที่กำลังมองหาอาชีพ ที่ไม่ต้องซื้อ แฟรนไชส์ ลงทุนน้อย คืนทุนเร็ว ทำง่าย ขายง่าย ขายดี ได้ลองพิจารณาเปรียบเทียบในทุกๆ ด้านกับหลายๆ อาชีพ
ภาพจากwww.kaitodck.com/
ไก่ทอดสมุนไพรเชียงคำ เป็นอีกอาชีพด้านธุกิจอาหารที่เป็นทางเลือก ซื้อสูตรครั้งเดียว ได้เป็นเจ้าของสูตรได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเสียค่าแฟรนไชส์อื่นๆ หรือเสียกำไรแบบต่อเนื่อง อุปกรณ์การทอดไม่แพงมาก กำหนดราคาขายด้วยตัวเอง กำไรวันต่อวัน ครึ่งต่อครึ่ง ทอดไม่หมดวันนี้ เก็บไว้ทอดวันต่อไปได้ไม่เสีย ไม่ต้องลองผิดลองถูก ไม่มีความเสี่ยง และที่สำคัญคือ เป็นอาชีพที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต อาหารประเถทไก่ทอด มีขายอยู่ทั่วไปทุกตลาด เพราะเป็นอาหารที่กินง่าย ขายง่าย ได้รับความนิยมมาตลอด แต่จะแตกต่างที่รสชาติ ไก่ทอดสมุนไพรเชียงคำ เป็นไก่ทอดที่หมักด้วยสมุนไพร ที่หอมเข้าเนื้อใน แป้งบางกรอบ กลมกล่อม กรอบนอกนุ่มในมีให้เลือกมากมาย เมนู เช่น น่อง สะโพก อก ปีก หนังเอ็นแก้ว โครง ข้อ เป็นต้น
รสชาติจะแตกต่างไปจากไก่ทอดทั่วไป คือการหมักด้วยสมุนไพรสดๆ และเครื่องปรุงที่ลงตัว ไม่เลี่ยน หอมกลิ่นสมุนไพร พร้อมกับสูตรน้ำจิ้มไก่ ที่อร่อยกว่าและประหยัดกว่า 3 เท่า
หากซื้อแบบสำเร็จรูป
ไก่ทอดทั่วไปตามท้องตลาดที่ไม่ได้หมักสมุนไพร รสชาติจะไม่แตกต่างกันมาก แต่จะขายได้มากหรือน้อยก็ตรงที่คุณภาพ และความอร่อยที่แตกต่างที่จะดึงลูกค้ามาได้และที่ขายราคาสูตรไม่แพง เพราะเข้าใจถึงความลำบากที่ตัวเองเคยพบมา การที่ไม่มีอาชีพหลัก และไม่มีเงินมากพอที่จะไปซื้อแฟรนไชส์แพงๆ มันลำบากยังไง
จึงอยากแบ่งปันให้เพื่นร่วมอาชีพที่มีทุนน้อยได้มีโอกาสมีทางเลือก และอาชีพติดตัวไปตลอดชีวิตโดยที่ไม่ต้องลงทุนสูงมาก
เงื่อนไขสำคัญ คือ ห้าม เปลี่ยน ลด ส่วนผสมใดๆ ในสูตร แม้แต่ ยี่ห้อ เครื่องปรุงรส เพราะไม่อยากให้เสียรสชาติ และชื่อเสียงของไก่ทอดเชียงคำ หากลดนั่นลดนี่
มันก็เหมือนไก่ทอดทั่วไปไม่มีอะไรแตกต่าง เพราะรสชาติหอมอร่อย คือจุดขายของเรา
ให้เต็มสูตร ไม่หวงสูตรเพราะจะได้ช่วยกันขยายสาขาและรักษาชื่อเสียงของไก่ทอดเชียงคำไปด้วยกัน ไม่ใช่ขายแค่สูตรเท่านั้น และได้จัดทำ VCD ขึ้นมา
สำหรับท่านที่อยู่ต่างจังหวัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และเวลาในการเดินทาง เข้าใจง่าย ทุกขั้นตอน จัดส่งให้ทาง EMS
ราคาสูตร 2,900 บาท ไม่ต้องเสียค่าแฟรนไชส์และใช้ชื่อ ไก่ทอดสมุนไพร เชียงคำ ไปด้วยกัน จดสิทธิบัตรแล้ว
1.VCD สาธิต การทำทุกขั้นตอน 2 แผ่น
2.สูตรทุกขั้นตอนอีก 13 แผ่น A4 หมักชิ้นส่วนไก่ได้ทุกชนิด หนัง เอ็นแก้ว น่อง สะโพก ปีก ตีน โครง ฯลฯ
3.เคล็ดลับ เทคนิค คำแนะนำ วิธีการขาย การหมัก การทอด
4.สูตรน้ำจิ้มไก่
5.ป้ายไวนิล 2 เมตร กว้าง 60 เซนติเมตร ราคา 300 บาท (แถมเฉพาะบางเดือนที่ทำโปรโมชั่น เดือนนี้ไม่ได้แถมค่ะ)
6.บริการให้คำปรึกษา แนะนำ ทุกขั้นตอน หากเกิดปัญหาขึ้น สอนให้ท่านทำได้จริง
ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือไปดุสถานที่ขายจริงได้ที่ ข้าง เซเว่น-อีเลฟเว่น ห่างจาก KFC สาขาเชียงคำ 100 เมตร 51/18 ถ.พิศาล อ.เชียงคำ จ.พะเยา ทุกวัน ตั้งแต่ 4โมงเย็น- 2 ทุ่มครึ่ง
หรือติดต่อคุณอำไพ โทร. 087-694-2461
6/27/2011
6/21/2011
ทำวุ้นมะพร้าว ช่องทางสดใสรายได้งาม
วุ้นมะพร้าวเป็นวุ้นชนิดเซลลูโลส มีปริมาณใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายได้ดี เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาการยับถ่าย ท้อป็ผูก ริดสีดวงทวาร มีใยอาหารที่มีคุณภาพสูง ซึ่งใยอาหารนี้มีคุณสมบัติในการปัองกันและรักษาโรคหลาย ๆ ชนิด มีคุณสมบัติใกล้เคียงผัก เพรูาะมีไฟเบอร์สูงอากาศร้อน ๆ หลายคนนึกอยาึ่กจะกินน้ำแข็งใสเย็น ๆให้ชื่นใจ แต่ก็ต้องใส่พวกเฉาก๊วยทุกชิด หรือแห้ว และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นต้องใส่วุ้นมะพร้าวเข้าไปด้วยก็จะได้รสเราจะเห็นวุ้นมะพร้าววางขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป ทั้งบรรจุในขวดแก้ว ถ้วยพลาสติกและบรรจุในถุง
สาเหตุที่ชักชวนให้มารับประทานวุ้นมะพร้าวกันนั้น เพราะได้ประโยชน์กันทุกฝ่ายเลยทีเดียว เริ่มจาก
ภาพจากthaismefranchise.com
วิธีการทำวุ้นมะพร้าว
1. การเตรียมหัวเชื้อสำหรับหมักวุ้น ในขั้นตอนนี้เป็นการนำหัวเชี้อบริสุทธิ์มาต่อขยายเพื่อเพี่มปริมาณหัวเชื้อให้มากเพียงพอสำหรับการหมักปริมาณหัวเชื้อที่เหมาะสม
ในการต่อขยายหัวเชื้อ สำหรับการหมักที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ 5% หากเตรียมหัวเชื้อได้มากอาจเพิ่มขึ้นถึง 10% ก็ได้ การใช้หัวเชื้อปริมาณน้อยจะทำให้
โตช้าและได้แผ่นวุ้นบาง
วิธีเตรียม
นำน้ำมะพร้าวแก่ 2 ลิตร มาต้มให้เดือด เติมน้ำตาลทราย 1 ขีด ต้มต่อไปจนเดือดนาน 10 นาที แบ่งใส่ขวดแม่โขงที่ลวกน้ำร้อน
แล้ว 5 ขวด ขวดละ 400 มิลลิลิตร ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น เต็มหัวน้ำส้มสายชูหรือกรดอะซิติกลงไปเพื่อปรับ PH เป็น 4.5 เต็มหัวเชื้อบริสุทธิ์ลงไปขวดละ
20 มิลลิลิตร ตั้งวางไว้ที่อุณหภูมิห้อง 3-4 วัน จะเห็นแผ่นวุ้นสีขาวขึ้นที่หัวหน้าของน้ำมัะพร้าว จะได้หัวเชื้อที่ขยายแล้วจำนวน 5 ขวด
2.การเตรียมน้ำมะพร้าวและการหมักวุ้นมะพร้าว
1.นำถังใส่น้ำมะพร้าว หรือถุงพลาสติกขนาดจุประมาณ 20-30 ลิตร ไปรอซื้อน้ำมะพร้าว จากโรงกะเทาะมะพร้าว ราคาค่าน้ำมะพร้าวและขนส่งตกราคาประมาณ ลิตรละ 50 สตางค์-1บาท
2.กรองเศษผงที่ติดมากับน้ำมะพร้าวออกให้สะอาดด้วยผ้าเนื้อแน่น นำน้ำมะพร้าวมา 20ลิตร ใส่หม้อตั้งไฟต้มจนเดือด แล้วเติมน้ำตาลทรายลงไป 5 เปอร์เซ็นต์ (ใช้ 1 กิโลกรัมต่อน้ำมะพร้าว 2๐ ลิตร) คนให้ละลาย ต้มต่อไปจนน้ำมะพร้าวเดือดนาน 1๐ นาที ก็ปิดไฟ ยกลงจากเตาเติมแอมโมเนียมซัลเฟตลงไป 0.3-0.5 เปอร์เซ็นต์
3.ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ปิดฝาให้มิดชิด ห้ามเปิดฝา เพื่อป้องกันไม่ให้มีฝุ่นละอองหรือเชื้อปนเปื้อนลงไปปะปน
4.เมื่อน้ำมะพร้าวเย็นดีแล้ว (ปกติตั้งทิ้งไว้ค้างคืนจะเย็นพอดี) เต็มหัวน้ำส้มสายชู หรือกรดอะซิติกเข้มข้นลงไป เพื่อปรับค่า PH เป็น 4.5 คนให้เข้ากันทัพพีและอุปกรณ์ที่ใช้ ควรลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อก่อน
5.เต็มหัวเชื้อที่ได้ขยายไว้ มีอายุ 3-5 วันลงไปในปริมาณ ประมาณ 5 เปอร์นซ็นต์ (ใช้หัวเชื้อขนาด 400 มิลิลิตรที่เตรียมไว้ประมาณ 3 ขวด)ปริมาณหัวเชื่อที่เหมาะสมคือ 5-10%
6.ใช้กระบวยที่ลวกน้ำร้อนแล้ว ตักน้ำมะพร้าวที่ผสมหัวเชื้อแล้วลงในถาดหมักที่ได้ล้างสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อสารคลอรีน เช่น คลอร็อกซ์และคว่ำไว้จนแห้งดีแล้ว และนำถาดไปลวกน้ำร้อน
เพื่อฆ่าเชื้ออีกชั้นหนึ่งแล้ว โดยตักให้ระดับน้ำมะพร้าวส่งจากก้นถาดหมัก ประมาณ 1 นิ้ว
7.รีบปิดถาดโดยเร็วด้วยกระดาษ ปกตินิยมใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ได้นึ่งฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำแล้ว รัฐด้วยยา้ง ถาดหมักบางรุ่นออกแบบมาสำหรบัหมักวุ้นมะพร้าวโดยเฉพาะ จะสามารถตั้งวางซ้อนกันได้ อาจวางซ้อนกันโดยตรงหรือใช้กระดาษหนังสือพิมพ์อยู่ข้างบนลงมาที่แผ่นวุ้นข้างล่างได้
8.ตั้งวางถาดซ้อนกันไว้ ที่อุณหภูมิห้องนาน7-10วัน ก็จะได้แผ่นวุ้นมะพร้าวหนา ประมาณ 1.2-1.5 เซนติเมตร ลักษณะวุ้นมะพร้าวคุณภาพดีมีเนื้อวุ้นทีเนียนนุ่มเรียบเป็นมัน มีความเหนียวหนึบใช้นิ้วหยิกหรือกดเนื้อวุ้นก็ไม่ขาดจากกัน
การเตรียมวุ้นมะพร้าวเพื่อนำไปแปรรูป
วุ้นมะพร้าวที่หมักเสร็จใหม่ ๆ จะมีสารอาหารจากน้ำมะพร้าว ได้แก่ น้ำตาลและกรดอยู่ที่แผ่นวุ้นมาก ก่อนนำมาใช้ประโยชน์หรือนำมาแปรรูปต้องล้างออกโดยแช่ในน้ำและหมั่นเปลียนถ่ายน้ำ
หลาย ๆ ครั้ง อาจแช่ค้างคืนและเปลี่ยนถ่ายน้ำวันละ 3-4 ครั้ง หรือจะใช้วิธีการต้มในน้ำร้อนให้เดือดและเปลี่ยนถ่ายน้ำ 3-4 ครั้งก็ได้ ทั้งนี้การหั่นวุ้นเป็นชิ้นสี่เหลียมเล็ก ๆ ขนาดเท่าลูกเต๋า ก็จะทำให้
ล้างเอากรดออกได้ง่ายขึ้น เมื่อล้างเอากรดออกหมดวุ้นก็จะจืดสนิทไม่เปรี้ยว วุ้นที่จืดสนิทไม่เปรี้ยวนี้ หากแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืนจะเสียและเหม็นเน่าได้ง่าย ควรรีบนำมาแปรรูปหรือเชื่อมโดยเร็ว
งบประมาณสำหรับขนาดกำลังผลิต 40 กิโลกรัม/วัน
เตาแก๊สชนิดหัวเร่ง พร้อมค่าประกันถัง 2 ชุด 5,000 บาท
หม้อต้มน้ำมะพร้าวขนาดเบอร์ 16 จำนวน 3 ใบ 2,400 บาท
ถาดพลาสติก 800 ใบ 24,000 บาท
ถังใส่น้ำมะพร้าว ขนาดบรรจุ 20-30 ลิตร 8ใบ 800 บาท
ถังใส่วุ้น ขนาด 200 ลิตร 4 ใบ หรือ100 ลิตร 8 ใบ 2,800 บาท
เครื่องมืออุปกรณ์ทั่วไปอื่น ๆ ได้แก่ ถังน้ำ ถุงมือ มีด ทัพพี 1,000 บาท
**รวมต้นทุนอุปกรณ์การผลิต 36,000 บาท
เงินหมุนเวียน สำหรับซื้อวัสดุการผลิต ได้แก่
น้ำมะพร้าว น้ำตาล น้ำยาซักฟอก 4,000 บาท
รวมเงินลงทุน 40,000 บาท
ประมาณการต้นทุนวัสดุ ปริมาณผลิตวันละ 40 กิโลกรัม
-น้ำมะพร้าวแก่ รวมค่าขนส่ง(60-80 ลิตรต่อวัน) 70 บาท
-น้ำตาลทราย 3.7 กิโลกรัม 80 บาท
-หัวน้ำส้มสายชู (กรดอะซิติก) 40 บาท
-แอมโมเนียมซัลเฟต 10 บาท
-เชื้อเพลิง 100 บาท
-น้ำยาฆ่าเชึ้อ น้ำยาซักล้าง 20 บาท
-ค่าเสื่อมราคา 40 บาท อึ่น ๆ 20 บาท
สาเหตุที่ชักชวนให้มารับประทานวุ้นมะพร้าวกันนั้น เพราะได้ประโยชน์กันทุกฝ่ายเลยทีเดียว เริ่มจาก
ภาพจากthaismefranchise.com
วิธีการทำวุ้นมะพร้าว
1. การเตรียมหัวเชื้อสำหรับหมักวุ้น ในขั้นตอนนี้เป็นการนำหัวเชี้อบริสุทธิ์มาต่อขยายเพื่อเพี่มปริมาณหัวเชื้อให้มากเพียงพอสำหรับการหมักปริมาณหัวเชื้อที่เหมาะสม
ในการต่อขยายหัวเชื้อ สำหรับการหมักที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ 5% หากเตรียมหัวเชื้อได้มากอาจเพิ่มขึ้นถึง 10% ก็ได้ การใช้หัวเชื้อปริมาณน้อยจะทำให้
โตช้าและได้แผ่นวุ้นบาง
วิธีเตรียม
นำน้ำมะพร้าวแก่ 2 ลิตร มาต้มให้เดือด เติมน้ำตาลทราย 1 ขีด ต้มต่อไปจนเดือดนาน 10 นาที แบ่งใส่ขวดแม่โขงที่ลวกน้ำร้อน
แล้ว 5 ขวด ขวดละ 400 มิลลิลิตร ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น เต็มหัวน้ำส้มสายชูหรือกรดอะซิติกลงไปเพื่อปรับ PH เป็น 4.5 เต็มหัวเชื้อบริสุทธิ์ลงไปขวดละ
20 มิลลิลิตร ตั้งวางไว้ที่อุณหภูมิห้อง 3-4 วัน จะเห็นแผ่นวุ้นสีขาวขึ้นที่หัวหน้าของน้ำมัะพร้าว จะได้หัวเชื้อที่ขยายแล้วจำนวน 5 ขวด
2.การเตรียมน้ำมะพร้าวและการหมักวุ้นมะพร้าว
1.นำถังใส่น้ำมะพร้าว หรือถุงพลาสติกขนาดจุประมาณ 20-30 ลิตร ไปรอซื้อน้ำมะพร้าว จากโรงกะเทาะมะพร้าว ราคาค่าน้ำมะพร้าวและขนส่งตกราคาประมาณ ลิตรละ 50 สตางค์-1บาท
2.กรองเศษผงที่ติดมากับน้ำมะพร้าวออกให้สะอาดด้วยผ้าเนื้อแน่น นำน้ำมะพร้าวมา 20ลิตร ใส่หม้อตั้งไฟต้มจนเดือด แล้วเติมน้ำตาลทรายลงไป 5 เปอร์เซ็นต์ (ใช้ 1 กิโลกรัมต่อน้ำมะพร้าว 2๐ ลิตร) คนให้ละลาย ต้มต่อไปจนน้ำมะพร้าวเดือดนาน 1๐ นาที ก็ปิดไฟ ยกลงจากเตาเติมแอมโมเนียมซัลเฟตลงไป 0.3-0.5 เปอร์เซ็นต์
3.ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ปิดฝาให้มิดชิด ห้ามเปิดฝา เพื่อป้องกันไม่ให้มีฝุ่นละอองหรือเชื้อปนเปื้อนลงไปปะปน
4.เมื่อน้ำมะพร้าวเย็นดีแล้ว (ปกติตั้งทิ้งไว้ค้างคืนจะเย็นพอดี) เต็มหัวน้ำส้มสายชู หรือกรดอะซิติกเข้มข้นลงไป เพื่อปรับค่า PH เป็น 4.5 คนให้เข้ากันทัพพีและอุปกรณ์ที่ใช้ ควรลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อก่อน
5.เต็มหัวเชื้อที่ได้ขยายไว้ มีอายุ 3-5 วันลงไปในปริมาณ ประมาณ 5 เปอร์นซ็นต์ (ใช้หัวเชื้อขนาด 400 มิลิลิตรที่เตรียมไว้ประมาณ 3 ขวด)ปริมาณหัวเชื่อที่เหมาะสมคือ 5-10%
6.ใช้กระบวยที่ลวกน้ำร้อนแล้ว ตักน้ำมะพร้าวที่ผสมหัวเชื้อแล้วลงในถาดหมักที่ได้ล้างสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อสารคลอรีน เช่น คลอร็อกซ์และคว่ำไว้จนแห้งดีแล้ว และนำถาดไปลวกน้ำร้อน
เพื่อฆ่าเชื้ออีกชั้นหนึ่งแล้ว โดยตักให้ระดับน้ำมะพร้าวส่งจากก้นถาดหมัก ประมาณ 1 นิ้ว
7.รีบปิดถาดโดยเร็วด้วยกระดาษ ปกตินิยมใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ได้นึ่งฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำแล้ว รัฐด้วยยา้ง ถาดหมักบางรุ่นออกแบบมาสำหรบัหมักวุ้นมะพร้าวโดยเฉพาะ จะสามารถตั้งวางซ้อนกันได้ อาจวางซ้อนกันโดยตรงหรือใช้กระดาษหนังสือพิมพ์อยู่ข้างบนลงมาที่แผ่นวุ้นข้างล่างได้
8.ตั้งวางถาดซ้อนกันไว้ ที่อุณหภูมิห้องนาน7-10วัน ก็จะได้แผ่นวุ้นมะพร้าวหนา ประมาณ 1.2-1.5 เซนติเมตร ลักษณะวุ้นมะพร้าวคุณภาพดีมีเนื้อวุ้นทีเนียนนุ่มเรียบเป็นมัน มีความเหนียวหนึบใช้นิ้วหยิกหรือกดเนื้อวุ้นก็ไม่ขาดจากกัน
การเตรียมวุ้นมะพร้าวเพื่อนำไปแปรรูป
วุ้นมะพร้าวที่หมักเสร็จใหม่ ๆ จะมีสารอาหารจากน้ำมะพร้าว ได้แก่ น้ำตาลและกรดอยู่ที่แผ่นวุ้นมาก ก่อนนำมาใช้ประโยชน์หรือนำมาแปรรูปต้องล้างออกโดยแช่ในน้ำและหมั่นเปลียนถ่ายน้ำ
หลาย ๆ ครั้ง อาจแช่ค้างคืนและเปลี่ยนถ่ายน้ำวันละ 3-4 ครั้ง หรือจะใช้วิธีการต้มในน้ำร้อนให้เดือดและเปลี่ยนถ่ายน้ำ 3-4 ครั้งก็ได้ ทั้งนี้การหั่นวุ้นเป็นชิ้นสี่เหลียมเล็ก ๆ ขนาดเท่าลูกเต๋า ก็จะทำให้
ล้างเอากรดออกได้ง่ายขึ้น เมื่อล้างเอากรดออกหมดวุ้นก็จะจืดสนิทไม่เปรี้ยว วุ้นที่จืดสนิทไม่เปรี้ยวนี้ หากแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืนจะเสียและเหม็นเน่าได้ง่าย ควรรีบนำมาแปรรูปหรือเชื่อมโดยเร็ว
งบประมาณสำหรับขนาดกำลังผลิต 40 กิโลกรัม/วัน
เตาแก๊สชนิดหัวเร่ง พร้อมค่าประกันถัง 2 ชุด 5,000 บาท
หม้อต้มน้ำมะพร้าวขนาดเบอร์ 16 จำนวน 3 ใบ 2,400 บาท
ถาดพลาสติก 800 ใบ 24,000 บาท
ถังใส่น้ำมะพร้าว ขนาดบรรจุ 20-30 ลิตร 8ใบ 800 บาท
ถังใส่วุ้น ขนาด 200 ลิตร 4 ใบ หรือ100 ลิตร 8 ใบ 2,800 บาท
เครื่องมืออุปกรณ์ทั่วไปอื่น ๆ ได้แก่ ถังน้ำ ถุงมือ มีด ทัพพี 1,000 บาท
**รวมต้นทุนอุปกรณ์การผลิต 36,000 บาท
เงินหมุนเวียน สำหรับซื้อวัสดุการผลิต ได้แก่
น้ำมะพร้าว น้ำตาล น้ำยาซักฟอก 4,000 บาท
รวมเงินลงทุน 40,000 บาท
ประมาณการต้นทุนวัสดุ ปริมาณผลิตวันละ 40 กิโลกรัม
-น้ำมะพร้าวแก่ รวมค่าขนส่ง(60-80 ลิตรต่อวัน) 70 บาท
-น้ำตาลทราย 3.7 กิโลกรัม 80 บาท
-หัวน้ำส้มสายชู (กรดอะซิติก) 40 บาท
-แอมโมเนียมซัลเฟต 10 บาท
-เชื้อเพลิง 100 บาท
-น้ำยาฆ่าเชึ้อ น้ำยาซักล้าง 20 บาท
-ค่าเสื่อมราคา 40 บาท อึ่น ๆ 20 บาท
Labels:
ทำวุ้นมะพร้าว,
วิธีทำวุ้นมะพร้าว,
วุ้นมะพร้าว
6/16/2011
ร้านหนังสือนายอินทร์
คงมีคนจำนวนไม่น้อยแน่ๆที่อยากเปิดร้านหนังสือ เป็นของตัวเอง แต่ถ้าขาดประสบการณ์และความรู้จะทำยังไง คิดว่าน่าจะเข้าระบบแฟรนไชส์จะดีกว่าซึ่งโดยส่วนตัวแล้วชอบรูปแบบของร้านนายอินทร์ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียง มีการคืนกำไรให้แก่ผู้บริโภค โดยมีที่ให้นั่งอ่านหนังสือ และมีกิจกรรมต่างๆ ให้ลูกค้าสิทธิประโยชน์ก็ได้รับ ตั้งแต่เปิดร้านมาทางบริษัทฯ มการจัดอบรมเจ้าของร้านผู้จัดการร้าน และพนักงานทุกระดับเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในลักษณะงานที่ทำและได้รับการสนับสนุนทางด้านการตลาดโดยมีรูปแบบสมาขิก และมีการจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์ชื่อร้าน
ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นตั้งแต่เปิดดำเนินธุรกิจเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ภาพจากnaiin.com/
รูปแบบแฟรนไชส์ร้านนายอินทร์
1. นายอินทร์ แฟรนไชส แบบเครือข่าย (Franchise Network)
เป็นแฟรนไชส์ที่บริษัทฯ เข้าไปมีส่วนควบคุมดูแลการดำเนินงานภายในร้านนายอินทร์ แฟรนไชส์เหมือนกับนายอินทร์แฟรนไชส์แบบเต็มรูปแบบ ยกเว้นในส่วนการบริหารและการสั่งซื้อสินค้าร้านนายอินทร์แฟรนไชส์เป็นผู้รับผิดชอบโดยบริษัทฯจะให้ความสนับสนุนด้านข้อมูลการตลาด เพื่อผลักดันให้การให้บริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแฟรนไชส์รูปแบบนี้จะเปิดดำเนินธุรกิจเฉพาะพื้นที่ในต่างจังหวัด
คุณสมบัติของผู้ขอรับสิทธ์เครื่องหมายการค้า
-เป็นบุคคลที่มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ
-ต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย
-ตัองเป็นเจ้าของสถานที่หรือเจ้าของสิทธิ์เช่าสถานที่โดยมีสัญญาเช่าไม่น้อยกว่า 3 ปี
-มีความพร้อมทางด้านการเงิน
เอกสารประกอบการสมัครเป็นผู้รับสิทธิ์ แฟรนไชส์ ร้านนายอินทร์
-สำเนาบัตรประขาชน
-สำเนา ทะเบียน บ้าน
-รูปถ่ายภาพหน้าตรงจำนวน 2 รูป
-หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท
-ใบแจ้งยอดบัญชีธนาคารย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน หรีอสำเนาสมุดเงินฝากธนาคารย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือนรวมทั้งแผ่นหน้าสุดที่มีชื่อและเลขที่บัญชีปรากฎอยู่
-สิทธิประโยชน์จากแฟรนไชส์ร้านนายอินทร์
รายการ
แฟรนไชส์กรุงเทพฯ
แฟรนไชส์ต่างจังหวัด
1. ระยะเวลาในการได้รับสิทธิ์
10 ปี หรือขึ้นอยู่กับสัญญาการให้พื้นที่
2. สนับสนุนการเลือกทำเล และการตกแต่งร้าน ตลอดจนการจัดร้าน
บริษัทฯ ให้คำปรึกษาและร่วมตัดสินใจในการเลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม และ ร่วมตัดสินใจพร้อมกับเจ้าของและผู้บริหารร้านนายอินทร์แฟรนไชส์ บริษัทฯ ให้คำปรึกษาและออกแบบร้านตามแนวทางของร้านนายอินทร์ พร้อม กับรายละเอียดของวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้
และแนะนำผู้รับเหมาตกแต่งให้กับผู้รับสิทธิ์ซึ่งผู้รับสิทธิ์สามารถหาผู้รับเหมาตกแต่งเพื่อเปรียบเทียบราคาและตัดสินใจเลือก ผู้รับเหมาตกแต่งเองได้
บริษัทฯ จะส่งทีมงานสนับสนุนไปช่วยให้คำแนะนำในการจัดวางหนังสือโดยแยกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจนตามภาพลักษณ์ของร้านนายอินทร์ บริษัทฯ ให้คำปรึกษาและร่วมตัดสินใจโนการเลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม และ ร่วมตัดสินใจพร้อมกับเจ้าของและผู้บริหารร้านนายอินทร์แฟรนไชส์บริษัทฯ ให้คำปรึกษาและออกแบบร้านตามแนวทางของร้านนายอินทร์ พร้อม กับรายละเอียดของวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ และแนะนำผู้รับเหมาตกแต่งให้กับผู้รับ สิทธิ์ชึ่งผู้รับสิทธิ์สามารถหาผู้รับเหมาตกแต่งเพื่อเปรียบเทียบราคา และตัดสินใจ เลือกผู้รับเหมาตกแต่งเองได้ บริษัทฯ จะส่งทีมงานสนับสนุนไปช่วยให้คำแนะนำในการจัดวางหนังสือโดยแยก เป็นหมวดหมู่อย่าง ชัดเจนตามภาพลักษณ์ของร้านนายอินทร์
3. การบริหารและการจัดการภายใน
บริษัทฯ จะอบรมให้กับผู้รับสิทธิ์ในด้านต่างๆ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เกี่ยว กับเทคนิคการบริหาร การจัดการร้าน ตลอดจนการบริหารสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคนิคการขายและการให้บริการ ณ จุดขาย การบริการหลังการขายให้กับพนักงาน และผู้บริหารร้านนายอินทร์แฟรนไชส์
บริษัทฯ จะให้การอบรมเพิ่มเติมตามสมควร
บริษัทฯ ให้ความช่วยเหลือ แนะนำการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
บริษัทฯ จะอบรมให้กับผู้รับสิทธิ์ โนด้านต่างๆ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เกี่ยวกับเทคนิคการบริหาร การจัดการร้าน ตลอดจนการบริหารสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการขายและการให้บริการ ณ จุดขาย การบริการหลังการขายให้กับพนักงานและผู้บริหารร้านนายอินทร์แฟรนไชส์บริษัทฯ จะให้การอบรมเพิ่มเติมตามสมควร
4. การสนับสนุนด้านการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย
บริษัทฯ ให้สิทธิ์การใช้รูปแบบและเครื่องหมายการค้ารวมทั้งเครื่องแบบพนักงานด้านนายอินทร์ที่เป็นเอกลักษณ์เดียวกัน
บริษัทฯ ให้ความร่วมมือและคำแนะนำในการวางกลยุทธ์ส่งเสริมการขายและแนวทางการวางแผนการตลาดอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เตรียมการเปิดร้าน ตลอดจนการผลักดันยอดขายจากทีมงานการตลาดของบริษัทบริษัทฯ ให้สิทธิ์การใช้รูปแบบและเครื่องหมายการค้ารวมทั้งเครื่องแบบพนักงานร้านนายจันทร์ที่เป็นเอกลักษณ์เดียวกัน บริษัทฯ ให้ความร่วมมือและคำแนะนำในการวางกลยุทธ์ส่งเสริมการขายและแนวทางการวางแผนการตลาดอย่างต่อเนือง เริ่มตั้งแต่เตรียมการเปิดร้าน ตลอดจนการผลักดันยอดขายจากทีมงานการตลาดของบริษัท
5. การฝึกอบรม
บริษัทฯ จะให้การอบรมผู้รับสิทธิ์และพนักงานอย่างต่อเนื่อง (โดยทางบริษัทฯ จะคิดค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง)
บริษัทฯ จะให้การอบรมผู้รับสิทธิ์และพนักงานอย่างต่อเนื่อง (โดยทางบริษัทฯ จะคิดค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง)
6. การสนับสนุนด้านการสั่งซื้อ
บริษัทฯให้บริการด้านการจัดซื้อ จัดส่งหนังสือใหม่ของทุกสำนักพิมพ์และของทุกผู้จัดจำหน่ายทันที พร้อมบริการพิมพ์รหัสแท่ง (BARCODE)บริษัทฯ ให้บริการดูแลจำนวนฉนค้าคงเหลือภายในร้านนายอินทร์ แฟรนไชส์พร้อมทั้งเสริมส่วนขาดของหนังสือที่ขายดีทุกปกที่มีจำหน่ายเพื่อให้มีเพียงพอต่อการขายบริษัทฯ ให้บริการด้านการจัดชื้อ จัดส่งหนังสือ ที่บริษัทอมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายหรือเป็นเจ้าของสิทธิ
7. การตรวจนับสินค้าคงคลัง
บริษัทฯ จะส่งทีมงานพร้อมอุปกรณคอมพิวเตอร์ ไปให้คำแนะนำการตรวจนับสินค้าคงคลัง และให้ความช่วยเหลีอเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ตลอดการตรวจนับในแต่ละครั้งบริษัทฯ จะส่งทีมงานพร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ไปให้คำแนะนำการตรวจนับสินค้าคงคลัง และให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ตลอดการตรวจนับในแต่ละครั้ง(จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเดินทางและค่าพักแรมสำหรับพนักงานที่บริษัทฯ ส่งไปช่วยเหลือในการตรวจนับนค้าคงคลัง)
8. การตรวจประเมินคุณภาพ
บริษัทฯ จะส่งทีมงานของทางบริษัทฯ ไปทำการตรวจประเมินคุณภาพการปฏิบัติงานของพนักงาน รวมถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของร้านนายอินทร์แฟรนไชส์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัท ซึ่งได้รับการรับรองมาตราฐานสากลISO 9002
บริษัทฯ จะส่งทีมงานของทางบริษัทฯ ไปทำการตรวจประเมินคณภาพการปฏิบัติงานของพนักงาน รวมถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของร้านนายอินทร์แฟรนไชส์เพื่อเป็นไปตามมาตรฐานของบริษัท
ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานสากลISO 9002 (จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเดินทางและคาพักแรมสำหรับพนักงานที่บริษัทฯ ส่งไปตรวจประเมิน)
สนใจร่วมธุรกิจร้านหนังสือกับร้านนายอินทร์
ติดต่อแผนกแฟรนไชส์ : บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด
เลขที่ 65/60- 62 หมู่ 4 ถ.ชัยพฤกษ์ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170
โทรศัพท์ 0-2882-2000 ต่อ 3213 และ 3214
โทรสาร 0-2882-2000 ต่อ 3602
ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นตั้งแต่เปิดดำเนินธุรกิจเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ภาพจากnaiin.com/
รูปแบบแฟรนไชส์ร้านนายอินทร์
1. นายอินทร์ แฟรนไชส แบบเครือข่าย (Franchise Network)
เป็นแฟรนไชส์ที่บริษัทฯ เข้าไปมีส่วนควบคุมดูแลการดำเนินงานภายในร้านนายอินทร์ แฟรนไชส์เหมือนกับนายอินทร์แฟรนไชส์แบบเต็มรูปแบบ ยกเว้นในส่วนการบริหารและการสั่งซื้อสินค้าร้านนายอินทร์แฟรนไชส์เป็นผู้รับผิดชอบโดยบริษัทฯจะให้ความสนับสนุนด้านข้อมูลการตลาด เพื่อผลักดันให้การให้บริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแฟรนไชส์รูปแบบนี้จะเปิดดำเนินธุรกิจเฉพาะพื้นที่ในต่างจังหวัด
คุณสมบัติของผู้ขอรับสิทธ์เครื่องหมายการค้า
-เป็นบุคคลที่มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ
-ต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย
-ตัองเป็นเจ้าของสถานที่หรือเจ้าของสิทธิ์เช่าสถานที่โดยมีสัญญาเช่าไม่น้อยกว่า 3 ปี
-มีความพร้อมทางด้านการเงิน
เอกสารประกอบการสมัครเป็นผู้รับสิทธิ์ แฟรนไชส์ ร้านนายอินทร์
-สำเนาบัตรประขาชน
-สำเนา ทะเบียน บ้าน
-รูปถ่ายภาพหน้าตรงจำนวน 2 รูป
-หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท
-ใบแจ้งยอดบัญชีธนาคารย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน หรีอสำเนาสมุดเงินฝากธนาคารย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือนรวมทั้งแผ่นหน้าสุดที่มีชื่อและเลขที่บัญชีปรากฎอยู่
-สิทธิประโยชน์จากแฟรนไชส์ร้านนายอินทร์
รายการ
แฟรนไชส์กรุงเทพฯ
แฟรนไชส์ต่างจังหวัด
1. ระยะเวลาในการได้รับสิทธิ์
10 ปี หรือขึ้นอยู่กับสัญญาการให้พื้นที่
2. สนับสนุนการเลือกทำเล และการตกแต่งร้าน ตลอดจนการจัดร้าน
บริษัทฯ ให้คำปรึกษาและร่วมตัดสินใจในการเลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม และ ร่วมตัดสินใจพร้อมกับเจ้าของและผู้บริหารร้านนายอินทร์แฟรนไชส์ บริษัทฯ ให้คำปรึกษาและออกแบบร้านตามแนวทางของร้านนายอินทร์ พร้อม กับรายละเอียดของวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้
และแนะนำผู้รับเหมาตกแต่งให้กับผู้รับสิทธิ์ซึ่งผู้รับสิทธิ์สามารถหาผู้รับเหมาตกแต่งเพื่อเปรียบเทียบราคาและตัดสินใจเลือก ผู้รับเหมาตกแต่งเองได้
บริษัทฯ จะส่งทีมงานสนับสนุนไปช่วยให้คำแนะนำในการจัดวางหนังสือโดยแยกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจนตามภาพลักษณ์ของร้านนายอินทร์ บริษัทฯ ให้คำปรึกษาและร่วมตัดสินใจโนการเลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม และ ร่วมตัดสินใจพร้อมกับเจ้าของและผู้บริหารร้านนายอินทร์แฟรนไชส์บริษัทฯ ให้คำปรึกษาและออกแบบร้านตามแนวทางของร้านนายอินทร์ พร้อม กับรายละเอียดของวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ และแนะนำผู้รับเหมาตกแต่งให้กับผู้รับ สิทธิ์ชึ่งผู้รับสิทธิ์สามารถหาผู้รับเหมาตกแต่งเพื่อเปรียบเทียบราคา และตัดสินใจ เลือกผู้รับเหมาตกแต่งเองได้ บริษัทฯ จะส่งทีมงานสนับสนุนไปช่วยให้คำแนะนำในการจัดวางหนังสือโดยแยก เป็นหมวดหมู่อย่าง ชัดเจนตามภาพลักษณ์ของร้านนายอินทร์
3. การบริหารและการจัดการภายใน
บริษัทฯ จะอบรมให้กับผู้รับสิทธิ์ในด้านต่างๆ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เกี่ยว กับเทคนิคการบริหาร การจัดการร้าน ตลอดจนการบริหารสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคนิคการขายและการให้บริการ ณ จุดขาย การบริการหลังการขายให้กับพนักงาน และผู้บริหารร้านนายอินทร์แฟรนไชส์
บริษัทฯ จะให้การอบรมเพิ่มเติมตามสมควร
บริษัทฯ ให้ความช่วยเหลือ แนะนำการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
บริษัทฯ จะอบรมให้กับผู้รับสิทธิ์ โนด้านต่างๆ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เกี่ยวกับเทคนิคการบริหาร การจัดการร้าน ตลอดจนการบริหารสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการขายและการให้บริการ ณ จุดขาย การบริการหลังการขายให้กับพนักงานและผู้บริหารร้านนายอินทร์แฟรนไชส์บริษัทฯ จะให้การอบรมเพิ่มเติมตามสมควร
4. การสนับสนุนด้านการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย
บริษัทฯ ให้สิทธิ์การใช้รูปแบบและเครื่องหมายการค้ารวมทั้งเครื่องแบบพนักงานด้านนายอินทร์ที่เป็นเอกลักษณ์เดียวกัน
บริษัทฯ ให้ความร่วมมือและคำแนะนำในการวางกลยุทธ์ส่งเสริมการขายและแนวทางการวางแผนการตลาดอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เตรียมการเปิดร้าน ตลอดจนการผลักดันยอดขายจากทีมงานการตลาดของบริษัทบริษัทฯ ให้สิทธิ์การใช้รูปแบบและเครื่องหมายการค้ารวมทั้งเครื่องแบบพนักงานร้านนายจันทร์ที่เป็นเอกลักษณ์เดียวกัน บริษัทฯ ให้ความร่วมมือและคำแนะนำในการวางกลยุทธ์ส่งเสริมการขายและแนวทางการวางแผนการตลาดอย่างต่อเนือง เริ่มตั้งแต่เตรียมการเปิดร้าน ตลอดจนการผลักดันยอดขายจากทีมงานการตลาดของบริษัท
5. การฝึกอบรม
บริษัทฯ จะให้การอบรมผู้รับสิทธิ์และพนักงานอย่างต่อเนื่อง (โดยทางบริษัทฯ จะคิดค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง)
บริษัทฯ จะให้การอบรมผู้รับสิทธิ์และพนักงานอย่างต่อเนื่อง (โดยทางบริษัทฯ จะคิดค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง)
6. การสนับสนุนด้านการสั่งซื้อ
บริษัทฯให้บริการด้านการจัดซื้อ จัดส่งหนังสือใหม่ของทุกสำนักพิมพ์และของทุกผู้จัดจำหน่ายทันที พร้อมบริการพิมพ์รหัสแท่ง (BARCODE)บริษัทฯ ให้บริการดูแลจำนวนฉนค้าคงเหลือภายในร้านนายอินทร์ แฟรนไชส์พร้อมทั้งเสริมส่วนขาดของหนังสือที่ขายดีทุกปกที่มีจำหน่ายเพื่อให้มีเพียงพอต่อการขายบริษัทฯ ให้บริการด้านการจัดชื้อ จัดส่งหนังสือ ที่บริษัทอมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายหรือเป็นเจ้าของสิทธิ
7. การตรวจนับสินค้าคงคลัง
บริษัทฯ จะส่งทีมงานพร้อมอุปกรณคอมพิวเตอร์ ไปให้คำแนะนำการตรวจนับสินค้าคงคลัง และให้ความช่วยเหลีอเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ตลอดการตรวจนับในแต่ละครั้งบริษัทฯ จะส่งทีมงานพร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ไปให้คำแนะนำการตรวจนับสินค้าคงคลัง และให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ตลอดการตรวจนับในแต่ละครั้ง(จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเดินทางและค่าพักแรมสำหรับพนักงานที่บริษัทฯ ส่งไปช่วยเหลือในการตรวจนับนค้าคงคลัง)
8. การตรวจประเมินคุณภาพ
บริษัทฯ จะส่งทีมงานของทางบริษัทฯ ไปทำการตรวจประเมินคุณภาพการปฏิบัติงานของพนักงาน รวมถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของร้านนายอินทร์แฟรนไชส์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัท ซึ่งได้รับการรับรองมาตราฐานสากลISO 9002
บริษัทฯ จะส่งทีมงานของทางบริษัทฯ ไปทำการตรวจประเมินคณภาพการปฏิบัติงานของพนักงาน รวมถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของร้านนายอินทร์แฟรนไชส์เพื่อเป็นไปตามมาตรฐานของบริษัท
ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานสากลISO 9002 (จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเดินทางและคาพักแรมสำหรับพนักงานที่บริษัทฯ ส่งไปตรวจประเมิน)
สนใจร่วมธุรกิจร้านหนังสือกับร้านนายอินทร์
ติดต่อแผนกแฟรนไชส์ : บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด
เลขที่ 65/60- 62 หมู่ 4 ถ.ชัยพฤกษ์ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170
โทรศัพท์ 0-2882-2000 ต่อ 3213 และ 3214
โทรสาร 0-2882-2000 ต่อ 3602
Labels:
ร้านหนังสือนายอินทร์,
หนังสือนายอินทร์
6/09/2011
ดรีมเบเกอร์รี่
ธุรกิจเบเกอร์รี่ เป็นธุรกิจอาหาร เบเกอร์รี่เป็นขนมกินเล่น หอมหวาน ที่เราเอาวัฒนธรรมการกินมาจากตะวันตก ธุรกิจเบเกอร์รี่นี้ มีการขยายตัวอย่างมาก คนไทยนิยมกินเบเกอร์รี่กันมากขึ้น กินได้ทุกเพศทุกวัย เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ น่าลงทุน สามารถประยุกต์รวมกับธุรกิจอื่นๆได้ เช่น ธุรกิจนมสด หรือกาแฟ สำหรับท่านที่สนใจอยากจะทำธูรกิจเบเกอร์รี่ วันนี้มีข้อมูลดีๆมีให้ลองตัดสินใจดูนะครับ
รายละเอียดของดรีมเบเกอร์รี่
ดรีมเบเกอร์รี่ คือเบเกอร์รี่พันธุ์ไทย สไตล์โรงแรม เพื่อให้บุคคลทั่วไป สามารถบริโภคเบเกอร์รี่ระดับโรงแรม แต่ราคาสบายๆ
ประวัติ : บริษัทดรีมเบเกอร์รี่ไทย จำกัด ดำเนินการด้านธุรกิจเบเกอร์รี่ครบวงจร ผลิตและ
จัดจำหน่ายเบเกอร์รี่ทุกชนิดโดยทีมผู้บริหารงานโรงแรม และฝ่ายผลิตจากโรงแรมระดับ 5 ดาว
จุดแข็งของดรีมเบเกอร์รี่
1. จ่ายมัดจำ 30% ก็สามารถเริ่มธุรกิจได้ทันที
2. ใช้พื้นที่น้อย
3. ผลตอบแทนสูง ระยะคืนทุนสั้น
4. เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้บริโภคมีโอกาสซื้อซ้ำ
คุณสมบัติของผู้ขอสิทธิ์แฟรนไชส์ดรีมเบเกอร์รี่
1. เป็นผู้ที่มีใจรักทางด้านงานขาย โดยเฉพาะ เบเกอร์รี่
2. มีความอดทน เข้าใจสภาวะเศรษูฐกิจ ต่อการเริ่มต้นดำเนินกิจการ
3. รักความก้าวหน้า มีเงินทุนเบื้องต้น
เงื่อนไขการเป็นแฟรนไชส์ดรีมเบเกอร์รี่
รูปแบบของแฟรนไชส์ดรีมเบเกอร์รี่ จะแบ่งออกเป็น 4 แบบ โดยจะขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง และพื้นที่ของลูกค้า
แบบที่ 1 ราคา 30,000 บาท (พื้นที่ของลูกค้าต้องอยู่ในร่ม) โดยลูกค้าสามารถจ่าย 10,000 บาท แล้วเริ่มธุรกิจได้ทันที ซึ่งเงินที่เหลือสามารถผ่อนชำระได้งวดละ 5,000 บาท รวม 4 งวด
แบบที่ 2 ราคา 50,000 บาท (พื้นที่นอกอาคารหรือกลางแจ้ง)
แบบที่ 3 ราคา 150,000 บาท ซึ่งเป็นKioskขนาดกลาง และ
แบบที่ 4 ราคา 200,000 บาท จะเป็นKioskที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ทั้งนี้รูปแบบแฟรนไชส์ในรูปแบบต่างๆ จะแตกต่างกันที่อุปกรณ์ที่จะได้รับ ซึ่งผู้ที่จะซื้อแฟรนไชส์สามารถเลือกให้เหมาะสมกับทำเลของตนเองได้
สิ่งที่ผู้เข้าร่วมแฟรนไชส์ดรีมเบเกอร์รี่ จะได้รับ1. Kiosk
2. ตู้เค้ก พร้อมอุปกรณ์เช่น ถาดขนม,ที่คีบขนม
3. ป้ายกล่องไฟ
4. ธง J-fak
5. ตัวผลิตภัณฑ์เบเกอร์รี่ของบริษัทจำนวน 2,000 บาท (กรณีแฟรนไชส์ แบบ Medium หรือ Large เท่านั้น)
6 การจัดส่งพนักงานฝ่ายขาย และ การตลาดไปช่วยเหลือในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ (ฟรี)
7. การจัดส่งเจ้าหน้าที่ โภชนาการไปช่วยแนะนำ ให้คำปรึกษา แก้ปัญหาต่างๆอย่างสม่ำเสมอ (ฟรี)
8. การช่วยตรวจสอบการลงสินค้า การแนะนำความรู้ และเทคนิคการขาย
9. การจัดส่งสินค้า และการบริการที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ
10. การแจกใบปลิว และประชาสัมพันธ์ ทางสื่อต่างๆ และการจัดรายการส่งเสริมการขาย อย่างสม่ำเสมอ
11.ไม่ต้องจ่าย เปอร์เซนต์จากการขายให้กับบริษัท
12. อบรมพนักงานขายให้ (ฟรี)
สนใจธุรกิจดรีมเบเกอรี่ ติอต่อได้ที่ คุณนายฉัตรชัย วิเศษวงษ์
ที่อยู่ ตลาด อตก. 3 ตลาดขวัญ จ.นนทบุรี โทรศัพท์ 0-9023-0556
รายละเอียดของดรีมเบเกอร์รี่
ดรีมเบเกอร์รี่ คือเบเกอร์รี่พันธุ์ไทย สไตล์โรงแรม เพื่อให้บุคคลทั่วไป สามารถบริโภคเบเกอร์รี่ระดับโรงแรม แต่ราคาสบายๆ
ประวัติ : บริษัทดรีมเบเกอร์รี่ไทย จำกัด ดำเนินการด้านธุรกิจเบเกอร์รี่ครบวงจร ผลิตและ
จัดจำหน่ายเบเกอร์รี่ทุกชนิดโดยทีมผู้บริหารงานโรงแรม และฝ่ายผลิตจากโรงแรมระดับ 5 ดาว
จุดแข็งของดรีมเบเกอร์รี่
1. จ่ายมัดจำ 30% ก็สามารถเริ่มธุรกิจได้ทันที
2. ใช้พื้นที่น้อย
3. ผลตอบแทนสูง ระยะคืนทุนสั้น
4. เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้บริโภคมีโอกาสซื้อซ้ำ
คุณสมบัติของผู้ขอสิทธิ์แฟรนไชส์ดรีมเบเกอร์รี่
1. เป็นผู้ที่มีใจรักทางด้านงานขาย โดยเฉพาะ เบเกอร์รี่
2. มีความอดทน เข้าใจสภาวะเศรษูฐกิจ ต่อการเริ่มต้นดำเนินกิจการ
3. รักความก้าวหน้า มีเงินทุนเบื้องต้น
เงื่อนไขการเป็นแฟรนไชส์ดรีมเบเกอร์รี่
รูปแบบของแฟรนไชส์ดรีมเบเกอร์รี่ จะแบ่งออกเป็น 4 แบบ โดยจะขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง และพื้นที่ของลูกค้า
แบบที่ 1 ราคา 30,000 บาท (พื้นที่ของลูกค้าต้องอยู่ในร่ม) โดยลูกค้าสามารถจ่าย 10,000 บาท แล้วเริ่มธุรกิจได้ทันที ซึ่งเงินที่เหลือสามารถผ่อนชำระได้งวดละ 5,000 บาท รวม 4 งวด
แบบที่ 2 ราคา 50,000 บาท (พื้นที่นอกอาคารหรือกลางแจ้ง)
แบบที่ 3 ราคา 150,000 บาท ซึ่งเป็นKioskขนาดกลาง และ
แบบที่ 4 ราคา 200,000 บาท จะเป็นKioskที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ทั้งนี้รูปแบบแฟรนไชส์ในรูปแบบต่างๆ จะแตกต่างกันที่อุปกรณ์ที่จะได้รับ ซึ่งผู้ที่จะซื้อแฟรนไชส์สามารถเลือกให้เหมาะสมกับทำเลของตนเองได้
สิ่งที่ผู้เข้าร่วมแฟรนไชส์ดรีมเบเกอร์รี่ จะได้รับ1. Kiosk
2. ตู้เค้ก พร้อมอุปกรณ์เช่น ถาดขนม,ที่คีบขนม
3. ป้ายกล่องไฟ
4. ธง J-fak
5. ตัวผลิตภัณฑ์เบเกอร์รี่ของบริษัทจำนวน 2,000 บาท (กรณีแฟรนไชส์ แบบ Medium หรือ Large เท่านั้น)
6 การจัดส่งพนักงานฝ่ายขาย และ การตลาดไปช่วยเหลือในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ (ฟรี)
7. การจัดส่งเจ้าหน้าที่ โภชนาการไปช่วยแนะนำ ให้คำปรึกษา แก้ปัญหาต่างๆอย่างสม่ำเสมอ (ฟรี)
8. การช่วยตรวจสอบการลงสินค้า การแนะนำความรู้ และเทคนิคการขาย
9. การจัดส่งสินค้า และการบริการที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ
10. การแจกใบปลิว และประชาสัมพันธ์ ทางสื่อต่างๆ และการจัดรายการส่งเสริมการขาย อย่างสม่ำเสมอ
11.ไม่ต้องจ่าย เปอร์เซนต์จากการขายให้กับบริษัท
12. อบรมพนักงานขายให้ (ฟรี)
สนใจธุรกิจดรีมเบเกอรี่ ติอต่อได้ที่ คุณนายฉัตรชัย วิเศษวงษ์
ที่อยู่ ตลาด อตก. 3 ตลาดขวัญ จ.นนทบุรี โทรศัพท์ 0-9023-0556
Labels:
ดรีมเบเกอร์รี่,
แฟรนไชส์เบเกอร์รี่
6/06/2011
น้ำเต้าหู้-เต้าฮวย สร้างอาชีพเสริม
น้ำเต้าหู้เป็นอาหารเช้ายอดนิยม ที่คงต้องมีหลายๆคนดื่มกันเป็นประจำ เพราะดีต่อสุขภาพ ได้โปรตีนจากถั่วเหลือง พูดถึงน้ำเข้าหู้-เต้าฮวย ใคร ๆ ก็รู้จัก เพราะนิยม
รับประทานกันทุกวัน ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งผู้ใหญ่ โดยเฉพาะน้ำเต้าหู้-เต้าฮวย ซึ่งทำจากถั่วเหลือง เป็นที่ยอมรับของนักโภชนาการสมัยใหม่ว่า มีคุณค่าทาง
โภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างอเนกอนันต์ ว่ากันว่าให้สารโปรตีนทื่มีคุณภาพเทียบเท่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่มีข้อดีกว่าคือ มีไขมันและ
แคลอรีต่ำ ยังอุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ เช่น วิตามิน บี แคลเซียมโพแทสเซียม เหล็ก ฯลฯ
ภาพจาก webboard.sanook.com
มาว่ากันที่เรื่องการลงทุน จะต้องซื้อ อุปกรณ์ เช่น เครื่องปั่น หม้อ ฯลฯ และยังต้องมีรถเข็น 1 คัน ซึ่งตรงนี้สำหรับคนที่มีทำเล
เช่น ขายหน้าบ้าน อาจจะจำเปน แต่ก็ต้องมีหม้อต้มแบบเดียวกับหม้อต้มน้ำก๋วยเตี๊ยว สามารถหาซื้อได้ทั่วไป อย่างไรก็ดี รถเข็นจะทาให้สะดวกในการ
เคลื่อนย้ายหรือเก็บของได้ดีกว่ากัน
ส่วนเรื่องการซื้อวัตถุดิบ ก็หาซื้อตามท้องตลาดทั่วไป แต่ควรหาจากแหล่งซื้อวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ราคาไม่แพงนัก และควรมีของครบจะได้ไม่
เสียเวลาไปซื้อหลายแห่ง เรื่องการปรุงรสชาติความอร่อย หรือวิธีการทำน้ำเต้าหู้-เต้าสวย ทำไม่ยากถ้าอยากจะทำ พูดถึงกรรมวิธีการทำน้ำเต้าหู้และเต้าฮวย การลงทุนก็ใช้เงิน
น้อย และหาซื้อวัสดุอุปกรณ์ก็ไม่ยิ่งยาก ที่จำเป็นหลัก ๆมี ดังนี้
1.เครื่องปั่นน้ำเข้าหู้ หรือเครื่องโม่
2. เตาแก๊ส ไว้สำหรับต้มน้ำเข้าหุ้นและต้มน้ำขิง ควรมีสัก 2 เตา เป็นอย่างน้อย เพราะจะต้องทำให้เสร็จ
ในเวลาจำกัด และต้องต้มอย่า้ใอื่นด้วย
2.หม้อ จะมีหม้อสำหรับใช้ต้มน้ำเข้าหู้และเต้าฮวย(เติมน้ำขิง)้ ซึ่งต้องแยกคนละใบ ให้ดูขนาด่พอเหมาะและหม้อต้มอื่น ๆ
3.ผ้าขาวบาง ไว้สำหรับกรองน้ำเต้าหู้ซึ่งต้องแยกกับผ้าที่ใช้กรองน้ำขิงเพื่อทำน้ำเต้าฮวย
ควรมีหม้อต้มเพื่ออุ่นน้ำเต้าหู้ให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา
วัตถุดิบในการทำน้ำเข้าหู้ มีถั่วเหลืองเป็นหลัก นอกจากนั้น มีน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว
รวมทั้งเครื่องเคียง เช่น สาคูเม็ดใหญ่ วุ้น ลูกเดือย ฯลฯ
ส่วนวัสดุที่ใช้ทำเต้าฮวย ประกอบด้วย ขิง เต้าหู้อ่อน น้ำตาลทรายขาว
น้ำตาลทรายแดง และปาท่องโก๋ตัวเล็ก
วิธีการทำน้ำเข้าหู้
1.ใช้ถั่วเหลือง ประมาณ 1 กิโลกรัม มาแช่น้ำนานอย่างน้อย 3 ชั่วโมง หลังจากนั้น นำมาเข้าเครื่องปั้นแล้วเอามากั้นน้ำแบบเดียวกับคั้นกะทิ ซึ่งตรงนี้ต้องพิถีพิถันกันเป็นพิเศษ
คือเครื่องมืออุปกรณ์ทีใช้ต้องใสะอาดจริง ๆ เพราะถ้าไม่สะอาดแล้วน้ำเข้าหู้จะเสีย หรือบูดได้ง่าย
2.เสร็จแล้วก็เอามาต้ม ประมาณ 45 นาทีซึ่งจะให้เข้มข้นขนาดไหนก็อยู่ที่ปริมาณของถั่วเหลืองและการผสมน้ำ ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละเจ้า ถึง
เคล็ดลับควรใช้ถั่วลิสง 1 ช้อนโต๊ะ นั้นรวมกับถ่วเหลือง ซึ่งถือว่าจะเป็นการดับกลิ่นและเพิ่มความหอมมันให้น่ารับประทาน
3.ต้มสาคู เคี่ยววุ้น หรือต้มลูกเดือย เตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ
วิธีทำเต้าฮวย
1.เริ่มจากการทำน้ำขิงก่อน ใช้ขิงแก่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ อาจจะใช้วิธีการทุบก็ได้
2.เสร็จแล้วก็นำไปต้มใส่น้ำพอสมควรดูให้มีความเข้มข้นตามความต้องการ ซึ่งการต้มน้ำขิงอาจจะต้มได้น้ำถึง 2 ครั้ง ถ้าเป็นขิงที่แก่จัดจริง ๆ ขั้นตอนนี้ไม่ยาก แต่ที่จะ
ยากคือ การทำเต้าหู้อ่อน เหมือนการคั้นน้ำกะทิที่จะต้องมีการเก็บหัวกะทิไว้ส่วนหนึ่ง เต้าหู้อ่อนก็เช่นกัน นำส่วนที่เรียกว่าหัวไปผสมกับแป้ง(แป้งมี ๒ ชนิด คือ แป้งเต้าหู้และแป้งมัน จะใช้แป้ง
ชนิดไหนก็ได้ คุณภาพพอ ๆ กัน) และผสมกับเจี๋ยกอ(หินอ่อนที่บดละเอียด ใช้เพียงนิดเดียวเพื่อให้เข้าหู้จับ
ตัว) คนให้เข้ากันและกรองเอากากออกให้หมด
3.จากนั้นก็เอามาต้ม เมื่อต้มได้จนเข้มข้นพอสมควรก็เอามาเทลงในภาชนะ ซึ่งตรงนี้ต้องค่อย ๆ เท และถ้าเทไมดีคุณภาพที่ได้อาจจะไม่ดีเท่าที่ควร คือเต้าหู้อ่อนจะไม่จับตัวเป็น
เนื้อ เดียวกัน
**พึงระวัง การทำน้ำเข้าหู้และเต้าฮวย แรก ๆ อาจจะได้คุณภาพไม่เป็นไปตามที่ต้องการ แต่เมื่อทำสัก 2-3 ครั้ง ก็จะทำให้มีประสบการณ์ และทำได้ดีไม่ยากสิ่งที่อยากจะเน้นคือ
อุปกรณ์ เช่น หม้อต้มน้ำเข้าหู้ หรืออุปกรณ์อย่างอื่น ๆ ไม่ควรใช้ร่วมกันอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะของคาวและของหวาน เพราะจะทำให้รสชาติเปลี่ยนแปลงได้
เรื่องเวลาในการขาย ก็อาจจะขายช่วงเช้าหรือช่วงเย็นก็ได้ โดยปกติคนมักจะนิยมรับประทานเป็นอาหารว่างหรืออาหารเสริม และควรขายวันละอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
เหมาะเป็นการทำอาชีพเ์สริมสำหรับคนที่มีเวลาน้อย ยอดขายควรได้วันละ 500-700 บาท ขึ้นไป ซึ่งกำไรจะตกวันละ 300-500 บาท ตกเดือนหนึ่งกำไรไม่น่าจะน้อยกว่า10,000 บาทเลยทีเดียว
รับประทานกันทุกวัน ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งผู้ใหญ่ โดยเฉพาะน้ำเต้าหู้-เต้าฮวย ซึ่งทำจากถั่วเหลือง เป็นที่ยอมรับของนักโภชนาการสมัยใหม่ว่า มีคุณค่าทาง
โภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างอเนกอนันต์ ว่ากันว่าให้สารโปรตีนทื่มีคุณภาพเทียบเท่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่มีข้อดีกว่าคือ มีไขมันและ
แคลอรีต่ำ ยังอุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ เช่น วิตามิน บี แคลเซียมโพแทสเซียม เหล็ก ฯลฯ
ภาพจาก webboard.sanook.com
มาว่ากันที่เรื่องการลงทุน จะต้องซื้อ อุปกรณ์ เช่น เครื่องปั่น หม้อ ฯลฯ และยังต้องมีรถเข็น 1 คัน ซึ่งตรงนี้สำหรับคนที่มีทำเล
เช่น ขายหน้าบ้าน อาจจะจำเปน แต่ก็ต้องมีหม้อต้มแบบเดียวกับหม้อต้มน้ำก๋วยเตี๊ยว สามารถหาซื้อได้ทั่วไป อย่างไรก็ดี รถเข็นจะทาให้สะดวกในการ
เคลื่อนย้ายหรือเก็บของได้ดีกว่ากัน
ส่วนเรื่องการซื้อวัตถุดิบ ก็หาซื้อตามท้องตลาดทั่วไป แต่ควรหาจากแหล่งซื้อวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ราคาไม่แพงนัก และควรมีของครบจะได้ไม่
เสียเวลาไปซื้อหลายแห่ง เรื่องการปรุงรสชาติความอร่อย หรือวิธีการทำน้ำเต้าหู้-เต้าสวย ทำไม่ยากถ้าอยากจะทำ พูดถึงกรรมวิธีการทำน้ำเต้าหู้และเต้าฮวย การลงทุนก็ใช้เงิน
น้อย และหาซื้อวัสดุอุปกรณ์ก็ไม่ยิ่งยาก ที่จำเป็นหลัก ๆมี ดังนี้
1.เครื่องปั่นน้ำเข้าหู้ หรือเครื่องโม่
2. เตาแก๊ส ไว้สำหรับต้มน้ำเข้าหุ้นและต้มน้ำขิง ควรมีสัก 2 เตา เป็นอย่างน้อย เพราะจะต้องทำให้เสร็จ
ในเวลาจำกัด และต้องต้มอย่า้ใอื่นด้วย
2.หม้อ จะมีหม้อสำหรับใช้ต้มน้ำเข้าหู้และเต้าฮวย(เติมน้ำขิง)้ ซึ่งต้องแยกคนละใบ ให้ดูขนาด่พอเหมาะและหม้อต้มอื่น ๆ
3.ผ้าขาวบาง ไว้สำหรับกรองน้ำเต้าหู้ซึ่งต้องแยกกับผ้าที่ใช้กรองน้ำขิงเพื่อทำน้ำเต้าฮวย
ควรมีหม้อต้มเพื่ออุ่นน้ำเต้าหู้ให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา
วัตถุดิบในการทำน้ำเข้าหู้ มีถั่วเหลืองเป็นหลัก นอกจากนั้น มีน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว
รวมทั้งเครื่องเคียง เช่น สาคูเม็ดใหญ่ วุ้น ลูกเดือย ฯลฯ
ส่วนวัสดุที่ใช้ทำเต้าฮวย ประกอบด้วย ขิง เต้าหู้อ่อน น้ำตาลทรายขาว
น้ำตาลทรายแดง และปาท่องโก๋ตัวเล็ก
วิธีการทำน้ำเข้าหู้
1.ใช้ถั่วเหลือง ประมาณ 1 กิโลกรัม มาแช่น้ำนานอย่างน้อย 3 ชั่วโมง หลังจากนั้น นำมาเข้าเครื่องปั้นแล้วเอามากั้นน้ำแบบเดียวกับคั้นกะทิ ซึ่งตรงนี้ต้องพิถีพิถันกันเป็นพิเศษ
คือเครื่องมืออุปกรณ์ทีใช้ต้องใสะอาดจริง ๆ เพราะถ้าไม่สะอาดแล้วน้ำเข้าหู้จะเสีย หรือบูดได้ง่าย
2.เสร็จแล้วก็เอามาต้ม ประมาณ 45 นาทีซึ่งจะให้เข้มข้นขนาดไหนก็อยู่ที่ปริมาณของถั่วเหลืองและการผสมน้ำ ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละเจ้า ถึง
เคล็ดลับควรใช้ถั่วลิสง 1 ช้อนโต๊ะ นั้นรวมกับถ่วเหลือง ซึ่งถือว่าจะเป็นการดับกลิ่นและเพิ่มความหอมมันให้น่ารับประทาน
3.ต้มสาคู เคี่ยววุ้น หรือต้มลูกเดือย เตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ
วิธีทำเต้าฮวย
1.เริ่มจากการทำน้ำขิงก่อน ใช้ขิงแก่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ อาจจะใช้วิธีการทุบก็ได้
2.เสร็จแล้วก็นำไปต้มใส่น้ำพอสมควรดูให้มีความเข้มข้นตามความต้องการ ซึ่งการต้มน้ำขิงอาจจะต้มได้น้ำถึง 2 ครั้ง ถ้าเป็นขิงที่แก่จัดจริง ๆ ขั้นตอนนี้ไม่ยาก แต่ที่จะ
ยากคือ การทำเต้าหู้อ่อน เหมือนการคั้นน้ำกะทิที่จะต้องมีการเก็บหัวกะทิไว้ส่วนหนึ่ง เต้าหู้อ่อนก็เช่นกัน นำส่วนที่เรียกว่าหัวไปผสมกับแป้ง(แป้งมี ๒ ชนิด คือ แป้งเต้าหู้และแป้งมัน จะใช้แป้ง
ชนิดไหนก็ได้ คุณภาพพอ ๆ กัน) และผสมกับเจี๋ยกอ(หินอ่อนที่บดละเอียด ใช้เพียงนิดเดียวเพื่อให้เข้าหู้จับ
ตัว) คนให้เข้ากันและกรองเอากากออกให้หมด
3.จากนั้นก็เอามาต้ม เมื่อต้มได้จนเข้มข้นพอสมควรก็เอามาเทลงในภาชนะ ซึ่งตรงนี้ต้องค่อย ๆ เท และถ้าเทไมดีคุณภาพที่ได้อาจจะไม่ดีเท่าที่ควร คือเต้าหู้อ่อนจะไม่จับตัวเป็น
เนื้อ เดียวกัน
**พึงระวัง การทำน้ำเข้าหู้และเต้าฮวย แรก ๆ อาจจะได้คุณภาพไม่เป็นไปตามที่ต้องการ แต่เมื่อทำสัก 2-3 ครั้ง ก็จะทำให้มีประสบการณ์ และทำได้ดีไม่ยากสิ่งที่อยากจะเน้นคือ
อุปกรณ์ เช่น หม้อต้มน้ำเข้าหู้ หรืออุปกรณ์อย่างอื่น ๆ ไม่ควรใช้ร่วมกันอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะของคาวและของหวาน เพราะจะทำให้รสชาติเปลี่ยนแปลงได้
เรื่องเวลาในการขาย ก็อาจจะขายช่วงเช้าหรือช่วงเย็นก็ได้ โดยปกติคนมักจะนิยมรับประทานเป็นอาหารว่างหรืออาหารเสริม และควรขายวันละอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
เหมาะเป็นการทำอาชีพเ์สริมสำหรับคนที่มีเวลาน้อย ยอดขายควรได้วันละ 500-700 บาท ขึ้นไป ซึ่งกำไรจะตกวันละ 300-500 บาท ตกเดือนหนึ่งกำไรไม่น่าจะน้อยกว่า10,000 บาทเลยทีเดียว
Labels:
ทำน้ำเต้าหู้,
น้ำเต้าหู้-เต้าฮวย,
วิธีทำน้ำเต้าหู้
6/04/2011
ทำขนมไทยขาย
ทุกวันนี้ขนมไทยของเรา เริ่มเป็นที่ยอมรับและนิยมของต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมไส้ไก่ ขนมฝอยทอง ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมถ้วยตะไล ข้าวต้มมัด รวมไปถึงขนมน้ำหรือว่าขนมหม้อหลากหลายชนิดที่แช่แข็งก็เป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะในแถบประเทศเอเชียด้วยกัน เช่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ พบว่าสินค้าของไทยถูกจัดว่าได้รับความนิยมอยู่ในอันดับที่ 3 เมื่อเทียบกับขนมของประเทศอื่นๆ เฉพาะอย่างยิ่งที่เวียดนามทราบข่าวล่าสุดจากผู้ส่งออกผลไม้ไทยรายหนึ่งบอกว่า ขนมไทยของเรามาแรงมาก ส่วนที่ประเทศญี่ปุ่นขนมทองม้วนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกปี
ภาพจากlearners.in.th
เพราะว่าขนมไทยมีจุดเด่นหลายอย่าง ประวัติความเป็นมาที่เชื่อมต่อร่องรอยความเจริญในแต่ละยุคสมัย ขนมไทยได้กลายมาเป็น วัฒนธรรมและประเพณีอย่างหนึ่งของคนไทย
สมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญ เช่น ในงานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือทำไว้รับแขกสำคัญๆ
ขนมไทยต้องใช้ความประรีตมากๆ บางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน
เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ การประณีตวิจิตรบรรจง จัดวางรูปทรงสวยงาม
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกภาคส่วนของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานสิริมงคลต่างๆ
เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นสิริมงคลของงาน ขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว
มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟู ก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก
ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดย ท่านผู้หญิง เปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระ ได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง
ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้าวเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง
นอกจากนี้ ความหลากหลายของขนมไทยก็หาชนชาติใดมาเปรียบคงไม่ได้ เพราะว่าขนมของเรามีหลายอย่างหลายชนิด แถมแต่ละท้องถิ่นก็ไม่เหมือนกัน
เป็นภูมิปัญญาที่จะต้องอนุรักษ์ให้คงอยู่ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของขนมไทยตามวิธีการทำให้สุกได้ดังนี้
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการเชื่อม เป็นการใส่ส่วนผสมลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือดจนสุก ได้แก่ ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน กล้วยเชื่อม จาวตาลเชื่อม
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการทอด เป็นการใส่ส่วนผสมลงในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ จนสุก เช่น กล้วยทอด ข้าวเม่าทอด ขนมกง ขนมค้างคาว ขนมฝักบัว ขนมนางเล็ด
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการกวน ส่วนมากใช้กระทะทอง กวนตั้งแต่เป็นน้ำเหลวใสจนงวด แล้วเทใส่พิมพ์หรือถาด เมื่อเย็นจึงตัดเป็นชิ้น เช่น ตะโก้ ขนมลืมกลืน ขนมเปียกปูน
ขนมศิลาอ่อน และผลไม้กวนต่างๆ รวมถึง ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว และกะละแม
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่ง (ใช้ลังถึง) บางชนิดเทส่วนผสมใส่ถ้วยตะไลแล้วนึ่ง บางชนิดใส่ถาดหรือพิมพ์ บางชนิดห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าว
เช่น ช่อม่วง ขนมชั้น ข้าวต้มผัด สาลี่อ่อน สังขยา ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมสอดไส้ ขนมเทียน ขนมน้ำดอกไม้
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการต้ม ขนมประเภทนี้จะใช้หม้อหรือกระทะต้มน้ำให้เดือด ใส่ขนมลงไปจนสุกแล้วตักขึ้น นำมาคลุกหรือโรยมะพร้าว ได้แก่ ขนมถั่วแปบ ขนมต้ม ขนมเหนียว ขนมเรไร
นอกจากนี้ ยังรวมขนมประเภทน้ำ ที่นิยมนำมาต้มกับกะทิ หรือใส่แป้งผสมเป็นขนมเปียก และขนมที่กินกับน้ำเชื่อมและน้ำกะทิ เช่น กล้วยบวชชี มันแกงบวด สาคูเปียก ลอดช่อง ซ่าหริ่ม
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่งหรืออบ ได้แก่ ขนมหม้อแกง ขนมหน้านวล ขนมกลีบลำดวน ขนมทองม้วน สาลี่แข็ง ขนมจ่ามงกุฎ นอกจากนี้ อาจรวม ขนมครก ขนมเบื้อง
ขนมดอกลำเจียก ที่ใช้ความร้อนบนเตาไว้ในกลุ่มนี้ด้วย
หากประเทศไทยมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตขนมไทยกันอย่างจริงจัง มีการวิจัยให้ขนมสามารถเก็บได้นานวัน พัฒนาคุณภาพและรสชาติให้ได้มาตรฐาน
สร้างนวัตกรรมของขนมไทยให้มีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ไทย รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ต่างๆ จะต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภค
สิ่งสำคัญที่สุดจะต้องสร้างเครือข่ายตลาดขนมไทยตามเมืองต่างๆ ที่เป็นประเทศกลุ่มเป้าหมาย
ขนมไทยสามารถยึดเป็นอาชีพได้อย่างมั่นคง ตลอดจนวัตถุดิบต่างๆ ที่ล้วนผลิตในประเทศไทยแทบทั้งสิ้น
มีการเปิดสอนวิชาขนมไทยของศูนย์อาชีพฯ มติชน ซึ่งมีความหลากหลายพอสมควร โดยจะเน้นประเภทขนมที่สามารถทำเป็นการค้าหรือต่อยอดเป็นอาชีพได้
สนใจเรียนวิชาขนมไทย เรียนได้ที่ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน โทร. (02) 589-2222 ต่อ 2100-2103
ข้อมูลประวัติขนมไทย อ้างอิงจาก วิกิพีเดีย
ภาพจากlearners.in.th
เพราะว่าขนมไทยมีจุดเด่นหลายอย่าง ประวัติความเป็นมาที่เชื่อมต่อร่องรอยความเจริญในแต่ละยุคสมัย ขนมไทยได้กลายมาเป็น วัฒนธรรมและประเพณีอย่างหนึ่งของคนไทย
สมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญ เช่น ในงานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือทำไว้รับแขกสำคัญๆ
ขนมไทยต้องใช้ความประรีตมากๆ บางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน
เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ การประณีตวิจิตรบรรจง จัดวางรูปทรงสวยงาม
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกภาคส่วนของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานสิริมงคลต่างๆ
เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นสิริมงคลของงาน ขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว
มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟู ก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก
ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดย ท่านผู้หญิง เปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระ ได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง
ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้าวเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง
นอกจากนี้ ความหลากหลายของขนมไทยก็หาชนชาติใดมาเปรียบคงไม่ได้ เพราะว่าขนมของเรามีหลายอย่างหลายชนิด แถมแต่ละท้องถิ่นก็ไม่เหมือนกัน
เป็นภูมิปัญญาที่จะต้องอนุรักษ์ให้คงอยู่ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของขนมไทยตามวิธีการทำให้สุกได้ดังนี้
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการเชื่อม เป็นการใส่ส่วนผสมลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือดจนสุก ได้แก่ ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน กล้วยเชื่อม จาวตาลเชื่อม
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการทอด เป็นการใส่ส่วนผสมลงในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ จนสุก เช่น กล้วยทอด ข้าวเม่าทอด ขนมกง ขนมค้างคาว ขนมฝักบัว ขนมนางเล็ด
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการกวน ส่วนมากใช้กระทะทอง กวนตั้งแต่เป็นน้ำเหลวใสจนงวด แล้วเทใส่พิมพ์หรือถาด เมื่อเย็นจึงตัดเป็นชิ้น เช่น ตะโก้ ขนมลืมกลืน ขนมเปียกปูน
ขนมศิลาอ่อน และผลไม้กวนต่างๆ รวมถึง ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว และกะละแม
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่ง (ใช้ลังถึง) บางชนิดเทส่วนผสมใส่ถ้วยตะไลแล้วนึ่ง บางชนิดใส่ถาดหรือพิมพ์ บางชนิดห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าว
เช่น ช่อม่วง ขนมชั้น ข้าวต้มผัด สาลี่อ่อน สังขยา ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมสอดไส้ ขนมเทียน ขนมน้ำดอกไม้
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการต้ม ขนมประเภทนี้จะใช้หม้อหรือกระทะต้มน้ำให้เดือด ใส่ขนมลงไปจนสุกแล้วตักขึ้น นำมาคลุกหรือโรยมะพร้าว ได้แก่ ขนมถั่วแปบ ขนมต้ม ขนมเหนียว ขนมเรไร
นอกจากนี้ ยังรวมขนมประเภทน้ำ ที่นิยมนำมาต้มกับกะทิ หรือใส่แป้งผสมเป็นขนมเปียก และขนมที่กินกับน้ำเชื่อมและน้ำกะทิ เช่น กล้วยบวชชี มันแกงบวด สาคูเปียก ลอดช่อง ซ่าหริ่ม
- ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่งหรืออบ ได้แก่ ขนมหม้อแกง ขนมหน้านวล ขนมกลีบลำดวน ขนมทองม้วน สาลี่แข็ง ขนมจ่ามงกุฎ นอกจากนี้ อาจรวม ขนมครก ขนมเบื้อง
ขนมดอกลำเจียก ที่ใช้ความร้อนบนเตาไว้ในกลุ่มนี้ด้วย
หากประเทศไทยมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตขนมไทยกันอย่างจริงจัง มีการวิจัยให้ขนมสามารถเก็บได้นานวัน พัฒนาคุณภาพและรสชาติให้ได้มาตรฐาน
สร้างนวัตกรรมของขนมไทยให้มีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ไทย รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ต่างๆ จะต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภค
สิ่งสำคัญที่สุดจะต้องสร้างเครือข่ายตลาดขนมไทยตามเมืองต่างๆ ที่เป็นประเทศกลุ่มเป้าหมาย
ขนมไทยสามารถยึดเป็นอาชีพได้อย่างมั่นคง ตลอดจนวัตถุดิบต่างๆ ที่ล้วนผลิตในประเทศไทยแทบทั้งสิ้น
มีการเปิดสอนวิชาขนมไทยของศูนย์อาชีพฯ มติชน ซึ่งมีความหลากหลายพอสมควร โดยจะเน้นประเภทขนมที่สามารถทำเป็นการค้าหรือต่อยอดเป็นอาชีพได้
สนใจเรียนวิชาขนมไทย เรียนได้ที่ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน โทร. (02) 589-2222 ต่อ 2100-2103
ข้อมูลประวัติขนมไทย อ้างอิงจาก วิกิพีเดีย
Labels:
ขายขนมไทย,
ทำขนมไทยขาย
Subscribe to:
Posts (Atom)